Feeds:
Posts
Comments

Archive for the ‘นันทนาการ’ Category

คนเราก็แปลกนะ ตอนไม่ได้ใช้ iPhone ก็รู้สึกว่ามันไม่เวิร์ค แต่พอใช้ไปชักติดใจลองนู่นลองนี่ คราวนี้เลยลองของใหม่อีก ไปอ่านเจอที่ไหนซักแห่งมันมีโปรแกรมนี้ด้วยแฮะ

Amplitube iPhone

เจ้า Amplitube รู้จักเจ้านี่ครั้งแรกก็ท่านต่อขาร๊อคแกแนะนำมาว่าใช้อันนี้เวลาอัดกีต้าร์เข้าคอม…….  เอ่อ…เอางั๊นเลย

ลองโหลดมาเล่นก็หนุกดีประหยัดค่าเอฟเฟคไปโข อิ อิ คราวนี้มาอยู่ใน iPhone จะพลาดได้ไง ไปนี่เลย

ลงเสร็จ …. เอ…จะเล่นยังไงหว่าเลยต้องเสียตังค์จนได้โดยไปสอย iRig มาซะ

http://proplugin.com/guitar-guitar-effect-audio-interface-ik-multimedia-irig.pro

iRig

เอาหล่ะ Software ก็มีแล้ว Hardware ก็มีแล้วลองเลยดีกว่า จัดการเสียบทุกสิ่งทุกอย่างตามรูปเปิดโปรแกรม

-โอ๊ะมีแอมป์หลายแบบนะเนี่ย Clean, Crunch, Lead, Metal แถมแอมป์เบสมาอีกตู้ด้วย เสียงก็โอเคนะ หูบ้านๆอย่างเราฟังก็ไม่แตกต่างเท่าไร

-ลองเปิดเอฟเฟคดูก็มีให้เล่นพอควรเสียงฟังได้ไม่ขี้เหร่ มาทั้ง Fuzz, Overdrive, Distortion, Delay etc.

-เออ…เล่นง๊องๆแง๊งมันก็ดูโล่งๆเบื่อๆ ไหนเอาเพลงในโหลดไว้มาเล่นแจมดิ๊…. อันนี้ทำไม่ได้อ่ะ ต้องดึงผ่าน Network ประมาณต่อเข้า Wifi router เดียวกันแล้วใช้ ip address ไปกรอกในคอมจากนั้นค่อยโหลดเข้ามาใน iPhone อืมม์ ก็พอได้นะไม่เหนื่อยมาก แต่มันได้แค่ 20 เพลง เบื่อเพลงไหนก็ลบทิ้งแล้วกัน

-จากที่เลยมาแทบไม่มี latency เลยดีดปุ๊บเสียงมาปั๊ป เยี่ยมจริงๆ

-ขอเก็บตังค์ไปสอย iPad มาเล่นดีกว่าจะได้ก้อนๆมาเป็นถาดเลย

เอาวะ ซ้อมดนตรีคราวหน้าไม่ต้องแบกเจ้า POD XT ไปซ้อมแระ เอาโทสับเนี่ยแหละ คงจะเพียงพอแล้วมั๊ง ไปละ

Read Full Post »

นานๆได้นั่งดูเพลงต่างๆทางทึีวีสักที  เออ…อันนี้มันทำสนุกแฮะ  ฟังแต่บีทตาก็ดูภาพ  ดูแล้วนึกถึงเพื่อนๆ เอามาแชร์ดีกว่า  ว่าแล้วก็คว้ากระดาษมาจดชื่อเพลง  ไม่ได้ทำอย่างงี้มานานมากแล้ว

นั่นหนะ เหวินเซียะเอ๋อ ใช่มั้ยอ่ะ

Read Full Post »

เสิร์ชดูงานตัวเอง เช็คโน้นเช็คนี่ แล้วก็หลุดเข้าไปในโลกของปิงปอง  เออ…เว้ย  เจ๋งดีว่ะ

เอามาฝาก  เพลินๆ  ฟิ้วๆ

สุดท้าย  ท้ายสุด นี่ดูไอเดีย

Read Full Post »

เพิ่งได้ดูเอ็มวีเพลงนี้…  ชอบว่ะ  เจ๋งดี

เอาๆ…  อีกงานเพลงที่ได้ดูแลไป

Lonely Lego น้องชาว ม.ศิลปากร เซรามิก

Read Full Post »

“มีหลายๆคนพยายามสรุปให้ชีวิตทั้งหมดทั้งมวลให้เป็นเรื่องเดียวกัน  ในภาพรวมใหญ่ๆถึงใหญ่มาก  อือ…ก็ไม่มีปัญญาจะค้าน  ใหญ่ที่สุดก็คงบอกว่าหายใจเข้าหายใจออกเหมือนกันไง  หยุดหายใจเมื่อไหร่ก็จบ  นั่นก็เหมือนกันอีกอยู่ดี  ถัดมาก็….หลังจากถัดมานี่หลากหลายนะ”

คำสนทนาในโต๊ะวงเหล้าสามย่านเก่า  เก่าซักสิบปีพอ…

พรรคพวกเหนื่อยหน่ายจากการทำงานหนัก  ตัดสินใจรวมพลมานั่งรื้อฟื้นความหลังที่ถิ่นเหล้าเดิมๆ

ในวัยที่อนาคตไม่ชัดเจน  ภาพอดีตคมชัดกว่า  แต่จะมีภาพไหนจริงเท่าภาพปัจจุบัน

“มึงจะมาสรุปอะไรชีวิตมันวะ” นี่เป็นจุดเริ่มต้นแรกๆก่อนจะไปถึงประโยคที่เราเปิดหัวไว้

สี่คนในวันนี้  สี่คนที่พอติดต่อกันได้ในวันที่เครื่องมือสื่อสารราคาแพงระยับ

เวลาเกือบสองทุ่มที่เหล้ากลมแรกถูกเปิด

ตอนนี้กลมที่สองลาไปครึ่งนึงแล้ว  ไม่มีใครคิดถึงเครื่องบอกเวลา  กับแกล้มเกลื่อนๆอยู่ไม่มากนัก  พอเห็นซากความคิดในการสั่งอาหาร

“กูว่า  มึงอย่าเพิ่งไปตำหนิแม่งเลย  มันอาจจะมีเงื่อนไขอะไรของมันก็ได้” หลุดจากปากเพื่อนตรงหน้า

“มันจะต่างยังไงวะ  ใช่ก็ใช่  ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” อันนี้เพื่อนหน้าขวา

ผมหันไปหันมา  ดูเพื่อนข้างตัวผู้เปิดเรื่อง  ในใจคิด  พวกมึงอย่าการเมืองนะ  กรูเพิ่งมาถึงปลายๆกลมนี่เอง  มึงบิ้วด์อะไรกันมาก่อนมั้ยเนี่ย….

“ไม่….” นี่นะ  หลายๆคนติดปากเลยคำนี้  หักไปก่อนค่อยอธิบาย  บางทีความรู้สึกคนฟังมันไปแล้ว  บางทีกำแพงก็ตั้งขึ้นเพราะคำนี้แหละ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ไปด้วยกันได้  เสียดายนะ  เสียดาย    เอาๆ…ย้อนกลับไปใหม่

“ไม่….แม่งเพี้ยนไปแล้ว  แม่งทำอย่างนี้ไม่ดีแน่” หน้าขวาว่า

“เท่าที่กูเข้าใจ  และพอมีข้อมูลนะ  กูก็เห็นด้วยกะมึง  แต่จะไปคุยยังไงกะมันได้วะ  คนมันเป็นอย่างงั้นหนะ” ผมว่า

“มึงลองคุยกะมันยัง” คนนั่งข้างถาม

“เปล่าว่ะ  กูไม่มีความรู้พอจะคุยกะมันหรอก  มึงก็รู้….” ผมหรือกูนี่หัวหดเลย

“แล้ว….แล้วทำไมพวกมึงไม่คุยกะมันวะ” ผมกะกู ถามกลับ

“ก็มึงเจอแม่งบ่อยสุดแล้ว  พวกกูก็รู้เรื่องราวแม่งจากมึงนี่แหละ  แล้วกูจะไปพูดยังไงวะ” ตรงหน้าตอบ

“อือ….ก็จริง” อันนี้กรูคิด  หลุบสายตาเล็กน้อย  ในใจคิด

“หรือมันเล่าให้กูฟังเพราะกูไม่ได้อยู่ในสายงานเดียวกะพวกมึงว้า….รึมันคิดมาแล้ว” ผมระแวดคิดไป  ใครจะรู้คำคอบ

“พี่ๆ  เออ….น้องๆ  ขอโซดาสองขวดเนาะ” ผมกรูเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

หลังจากกระดกไปอีกสามสี่แก้ว

“ถ้าพวกมึงไม่คิดจะคุยกะมันแล้วจะคุยเรื่องมันทำเหี้ยอะไรวะ  ตั้งพักใหญ่ “ อันนี้พลังสุราช่วยหนุน

“ไม่ช่าย….พวกกู….” กูก็ว่าไม่ใช่เอี้ยอารัย  ซัดเรื่องมันกันมาขนาดนี้  ดันไม่ใช่ซะได้  เอาย้อนกลับอีกที

“ไม่ช่าย….พวกกูก็แคร์มันนะ  แต่ว่าจะให้กูไปพูดก็กระไรอยู่” หน้าซ้ายหน้าขวา  ผมเริ่มจับทิศทางเสียงไม่ได้

“กระไรอยู่แปลว่าอะไรวะ” ผมถาม

“อ้าว…มึงก็น่าจะเข้าใจนิ”  เออ….เว้ย  มันเลือกกันได้เนาะ  บางเวลาเราพยายามอินแทบตายแม่งก็บอกมึงไม่เข้าใจหรอก  อีพอเราถามกลับ  กลายเป็นว่ามึงน่าจะเข้าใจ  เอาวะ…พหูสูตรก็พหูสูตเหอะ  เอาอยู่มั้ยเนี่ย

“แม่งจะมีอารายว่ะ  แม่งคิดมาก….” เอาๆ นี่ ข้างตัวเอง ถ้าจะได้ที่  เหล้านองแค่ก้นกลม  ดูแล้วอีกสองแก้วคงได้รีเซ็ตขวดใหม่

“งานแม่งก็มั่นคง  หุ้นเหิ้นแม่งก็มีเพียบ  จะไปห่วงอะไรมันว้าพวกมึงเนี้ย…” ข้างตัวอย่างเดิม  ก่อนหน้านี้ซักชั่วโมงก็ยังแลกเปลี่ยนกันอยู่เลย  ตอนนี้มันไม่แล้ว  หรือมันขี้เกียจคิด…

“แล้วชีวิตมันมีความสุขมั้ยเล่า” ตรงหน้าผมว่า  ผมอ้าปากแต่ไม่ทัน…

“เออ…แล้วมันมีความสุขมั้ยเล่า” อันนี้หน้าขวา

“อ้าว….แล้วพวกมึงจะให้ใครตอบวะ” ผมถึงมาช้าไปหน่อยแต่ก็เต็มฝีตีนเพื่อตามเพื่อนให้ทัน  กลัวเหมือนกันว่าจะออฟไซด์  แต่คิดทีไรไปทุกที

“โหย…คนมันโตๆกันแล้ว  เดี๋ยวมันก็คิดได้  มันไม่โง่หรอก  แล้วมันก็ไม่บ้าด้วย  จะห่วงมันทำไมวะ” ขวดใหม่เต็มที่ก็น่าจะแค่แบน  ไม่น่าจะมีสภาพไปถึงกลม

“เกี่ยวอะไรกะโง่กะบ้าวะ” แต่กูว่ากูนี่แหละทั้งโง่และบ้า  เพื่อนแม่งลอยไปกะสุราหมดแล้ว  กูเองก็ไม่เว้น  เสือกทะลึ่งจะเอาความจริงอะไรอีก

ไฟสามย่านฝั่งตรงข้ามไล่ปิดไปเป็นแถบๆ  เดี๋ยวก็ย้ายมาฝั่งเรา

คอผมเริ่มตั้งไม่นิ่ง  ส่ายส่องดูพรรคพวก  ได้ที่กันหมดแล้ว  หัวโยกคลอนกันไม่เป็นจังหวะ  หรือเป็นที่สายตาผมหน้อ…

หวังว่าพรุ่งนี้จะจำได้ว่าวันนี้เราถกกันเรื่องอะไร….  องค์ประกอบพรรคพวกเปลี่ยนไปเรื่องราวก็เปลี่ยนไป

ความเป็นไปของเพื่อนฝูงเปลี่ยนไปเรื่องราวก็เปลี่ยนไป….

นี่เป็นการเมามายครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ในชีวิต  ซ้ำซากสิ้นดี….

Read Full Post »

Confucius – (คันฟิว’เชิส) n. ขงจื้อ (5-6ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช) -Confucian n.,adj. – Hope

ตอนที่ดูจบไม่ถึงกับอิ่มเอิบเหมือนครั้ง Hero แต่ก็พึงพอใจในระดับสูงทีเดียว  งาน Fx(เอฟเฟ็กค์) เนียนแค่ประมาณนึง ก็ดีที่ไม่เน้นมันมากนัก

บทพูดนี่สิ  เด็ดขาดนัก  เด็ดขาดขนาดที่อยากรู้เลยทีเดียวว่าถ้าเป็นภาษาของเขาจะลึกซึ้งขนาดไหน   บทโต้ตอบนี่กลับมาคิดตีความเอาเรื่องทีเดียว

สะท้อนสังคมการเมืองดีอยู่  อดนึกถึง โยน ออฟ อาร์ค หรือ เบลฟ ฮาร์ท ไม่ได้  แม้จะไม่ได้หดหู่เท่า  แต่เหมือนจะทำให้พึงรับรู้บางอย่าง

ค่อนข้างมั่นใจว่าจะถูกจริตกับเพื่อนๆที่ซึมซาบปรัชญา  มันเยอะพอที่ผมจะดูได้อีกรอบ  แต่ถ้าเอาแอ๊กชั่น ก็ต้องว่าจืดไปหน่อย

ก่อนหน้าหนึ่งวัน  เพิ่งดู 2012 ในรถตู้  โอย…หากไม่นับโปรดักชั่นอลังการด้วยเงินทุนมหาศาลแล้ว  ใกล้เคียงคำว่ากระจอกทีเดียว  ถ้าไม่มีฉากพวกนั้นให้เราดู  หนังก็ไม่เหลืออะไรแล้ว  กลวงสิ้นดี  วางหมากไว้หน่อยว่า ให้คนแก้ปัญหาเป็นคนดำ  อุตส่าห์ตั้งชื่อลูกพระเอกที่ไปช่วยไขปมสุดท้ายว่า “โนอาร์”  มุกอย่างนี้ส่วนตัวเบื่อหน่าย  และออกจะเพ้อเจ้อเสียแล้ว

ชื่นชมอยู่ในประเด็นที่ว่า  จะจำกัดคนที่อยู่รอด  หรือเปิดให้เสรี  เป็นปมที่เอาไปคิดต่อได้  แต่ก็คงไม่น่าจะมีคำตอบ  ทางใครก็ของใคร

กลับมาที่ตัวหนัง  ตัดเร็วไปอยู่บ้างด้วยตัวละครที่หลากหลาย  เอา…ขอสักนิด  แนะนำตัวละครนี่  ไม่ต้องเป็นเสียงพูดน่าจะดีกว่า  ขึ้นเป็นอักษรก็น่าจะเพียงพอต่อการจดจำ  ดีไม่ดีจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ  นี่เอาเสียงแนะนำตัวละครซ้อนกัยเสียงบทพูดมันก็มึนนะสิ  อันนี้ไม่ดีๆ  ปรับแก้เถิด

ยอมรับว่าหนังตัดเร็วไวในบางช่วงจนมึนงงกับชื่อตัวละคร  เอ…หรือว่าผมอาจจะแก่ไปแล้วก็ได้นะ  ดูจบนี่จำชื่อตัวละครได้น้อยมากๆ  สับสนกันการเล่าเรื่องอยู่บ้างเหมือนกัน

พยายามสรุปนะ….ผมบอกคุณแฟนว่า  อยากให้คนไทยดูหนังเรื่องนี้กันเยอะๆ  แง่บวกมันเด่นมากๆ  เรื่องคุณธรรมเขาก็นำเสนอได้ไม่ไกลจากความเป็นจริงจนเกินไป  มีทั้งตัวละครที่ตั้งใจบอกว่าเลว  ตั้งใจบอกว่าดี  ที่เจ๋งก็คือมีตัวละครที่วางไว้ตำแหน่งกึ่งกลาง  ตำแหน่งที่เรา(ผม) ไม่กล้าตัดสินใจ  ไม่กล้าตีความ  แล้วมีมากกว่าหนึ่งตัวเสียด้วยสิ  อันนี้ส่วนตัวว่าเจ๋งว่ะ

วันนี้ได้พูดคุยกับพรรคพวกอื่นๆ  ก็มีคนว่า เฮ้ย…พี่โจว  แม่งไม่ใช่ว่ะ  คนจะเป็นขงจื๊อต้อง…..  แต่แกยังไม่ได้ดูนะ

อือ….ผมขอว่าตามความคิด  เราโตมากับพี่โจวเป็นมาเฟีย  เป็นเจ้าพ่อ  ฯลฯ แต่ก็ประมาณนี้แหละ  จริงๆแล้ว  แกเล่นเป็นมาสเตอร์มากว่าสิบปีแล้วนะ เราควรละทิ้งบางอย่างไปบ้างหรือเปล่า

พึ่งรู้สึกว่าพี่แกเป็นหนึ่งในคนที่นึกออกว่าทำท่าคำนับแบบจีนโบราณได้สวยงามที่สุดที่เคยเห็น

พึ่งรู้สึกว่าพี่แกเป็นหนึ่งในคนที่มีสายตาที่มุ่งมั่นอย่างยิ่ง  ที่สำคัญ  มันอยู่บนรอยยิ้ม  รอยหัวเราะที่อบอุ่นว่ะ

เมื่อก่อนจากหนังหลายๆเรื่องดูก็โอเค  ไม่ได้คิดอะไรมากมาย  เข้าใจว่าเป็นเพราะวัยเพราะมาร์เก็ตติ๊ง  เออ…มันมีอะไรเหมือนกันเนาะ  อันนี้ถ้ากรูคิดไม่ผิด

หนังไม่สุด  ไม่ยิ่งใหญ่  อย่างที่คิด  แต่สุดอยู่ในอารมณ์ที่น่าจะเฉพาะกลุ่ม  ถ้าเทียบกับสามก๊ก Red Cliff ก็ต้องถือว่า  เรื่องนี้มีด้านกว้างน้อยกว่า  มีไคลแม็กซ์ ตรงไหนว่ะ แต่มีด้านลึกที่ตีความได้ไม่รู้จบ หรืออาจจะแปลว่าตีความไม่ได้ก็ได้  และไคลแม็กซ์อยู่ที่ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วหละ

ส่วนผม  ประโยคที่จำได้สุดๆ  ไม่เล่าสถานการณ์นะ

“ข้าฯ ยังไม่เคยเจอใครที่คิดถึงเรื่องจริยฯ ก่อนเรื่องตัณหาเลย”

ออกตัวโคตรๆ  ว่าอคติ มีใจให้หนังตะวันออกที่ทำได้โอเคอยู่เยอะนะ  ก็เป็นปรัชญาที่เราเก็ทนี่หน่า  ไม่ว่ากันเนาะ (อคติไม่ได้แปลว่าบวกหรือลบนะ  มันหมายถึงเอนเอียง)

สรุปอีกครั้ง  ชักชวนให้ดูครับผม  เพื่อนๆ  รับรองถกกันได้อีกพักใหญ่ๆ  สนุกๆ

(อคติในธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้วางไว้ ที่ทำให้จิตเกิดมีความลำเอียงนั้น มีอยู่ 4 ข้อด้วยกัน คือ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005427.htm )


Read Full Post »

ออกเดินทางเพื่อทำมาหากินเสาร์ที่แล้ว ๒๑ พ.ย. สู่เมืองเชียงใหม่  ได้งานจ้างข่าวว่าตังค์น้อยหนึ่งงาน

วิลันดา เชียงใหม่

เอาน่า…เดินทางฟรีที่พักฟรี  เปลี่ยนบรรยากาศชีวิต  ได้จังหวะอากาศเย็นพอได้ที่  ถ้าได้มีโอกาสออกทัวร์นี่น่าจะสนุก  แต่เฮ้อ…อายุอานามก็ไปพอสมควร  นั่งรถตู้นานๆถ้าจะเพลียไม่หยอก  ดีที่งานนี้เขาให้เดินทางเครื่อง

กลับมาถึงดึกดื่นเที่ยงคืนวันที่ ๒๒ จัดกระเป๋าอีกครั้ง  เตรียมออกจากบ้านตี๕ คราวนี้เป็นรถไฟสปินเตอร์มุ่งสู่อุบลราชธานี  เป้าหมายคือ อ.โขงเจียมและทุ่งดอกไม้ในอุทยานผาแต้ม

คิดถึงคนจรและภรรยาที่เมื่อหลายปีที่แล้วได้ไปตะลอนๆที่นี่กัน  ที่ๆไปคราวนี้หลายที่ก็ตามรอยเดิม  แก่งตะนะ หน้าตาเหมือนเดิมเด๊ะ  ลานที่กางเต้นท์  ห้องน้ำห้องท่า ไม่มีเปลี่ยนแปลง ที่โขงเจียมก็กินอาหารที่ร้านเดิม  ทุ่งดอกหญ้าก็เป็นที่เดิม  ที่ผาแต้มไม่ได้ลงไปดูภาพเขียนประวัติศาสตร์ ก็ยังคงไม่ได้ลงไปดูเหมือนเดิม   พยายามเดินทางไปสามพันโบก  ถนนแย่มาก  สู้ไปได้พักใหญ่  ถอยดีกว่าเกรงเรื่องน้ำมัน

เวลาเหลือเก็บเกี่ยวนู้นนี่ข้างทางไปเรื่อยๆ  ที่พักที่โขงเจียมเข้าท่า  เงียบสงบ  บรรยากาศล้ำเลิศ  จนต้องมาฝากกัน

สบมูล - โขงสีปูน มูลสีคราม

มูลมุ่งสู่โขงในยามเช้า - หน้าที่พัก

นี่ก็อีกหนึ่ง

ทุ่งดอกหญ้า

ผู้ริเริ่มโครงการ

เวิ้งน้ำเขื่อนสิรินธร งามแท้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เห็นเวิ้งน้ำในเขื่อนสิรินธรก็อดนึกถึงทีมไม้ใต้น้ำไม่ได้  แม้ในฐานะผู้ติดตาม  กวาดตามองไปก็ยังให้รู้สึกอยากออกเรือไปอย่างที่เคยมีโอกาส  ที่พักเขาก็ทำดีสวยงาม  เสียดายไกลเกิน  ทริปซิมโพฯของเราไม่สามารถ  ปิดฉากด้วยภาพฝาก น้ำตกที่เขาว่าใหญ่ที่สุดในอีสานใต้

น้ำตกถ้าบักเตว อุทยานภูจองนายอย

ชีวิตชาวปากน้ำมูล

สุดท้ายจริงๆแล้ว คนเหมืองเจ้าถิ่นพร้อมภริยามารับไปเลี้ยงดูปูเสื่อระดับโรงแรมหนึ่งมื้อ  ซัดเบียร์ไปสามขวด โม้กันไปสามชั่วโมง เวลาผ่านรวดเร็ว  ฝั่งคนเหมืองไม่มีใครอยู่นิ่งให้จับภาพโดยง่าย (จริงๆกรูเองเอาแต่โม้นั่นแหละ) ได้ภาพมาประมาณนี้เอง

ภาพสุดท้ายจริงๆๆๆ แอร์ที่โรงแรมที่พัก  ตรงที่มันสวิงมันเป็นแบบนี้  ใครเคยเห็นบ้าง  อยากรู้ว่ามีอยู่จริง  หรือเขาดัดแปลงกันเอาเองหนะ มันเป็นแผ่นกลมๆติดไว้เอียงๆกะแกน ขนานกันไป  พอหมุนมันก็ทำหน้าที่ปัดลมให้สวิง  พอนึกออกไหม..

คนเหมืองเชียงและภริยา ภาพผ่านสายตาของเบียร์สามขวด

แอร์เจ้าของคำถาม

Read Full Post »

แตกต่างไปพอสมควรจาก Paris Je Taime ที่คราวนั้นทั้ง ๑๘ เรื่อง จัดสรรเป็นตอนๆอย่างชัดเจน  คราวนี้ เป็น ๑๑ เรื่อง  ซึ่งจริงๆก็แบ่งเนื้อหาชัดเจน  แต่ทำให้มีการร้อยกันบ้างเกี่ยวกันบ้างไปๆมาๆอยู่  อาจจะดูเหมือนซับซ้อนนิดนึง

New York I Love You movie poster 1255159105

บรรยากาศเรื่องเองก็ต่างไป  คราวนี้ก็ดูเป็นอเมริกันขึ้นจริงๆแต่ก็ไม่มากมายนัก  เพลงประกอบบางเพลงยังฟังดูเป็นฝรั่งเศสอยู่เลย  หลายๆตอนสนุกดี  โดย เฉพาะตอนที่เป็นคู่คุณตาคุณยาย  เรียกอย่างนี้แล้วกัน (รู้สึกว่าผู้กำกับ จะ โจชัว… อะไรซักอย่าง) ดูแล้วมีตวามสุข  กัดๆหยอกๆน่ารักดี  คิดว่าผู้ชมอื่นๆก็น่าจะชอบตอนนี้ได้ไม่ยาก

ตอนที่ นาตาลี พอร์ตแมน กำกับนั้นก็น่ารัก หักมุมเล็กๆ เด็กหญิงที่เล่นนั้นเยี่ยมเลย

อีกตอนที่ นาตาลี เป็นผู้แสดงนั้น  ต้องยอมรับว่างงๆ  ตั้งตัวไม่ทัน  ไม่ค่อยเข้าใจ

อีกตอนที่มึนๆ จนพาลวูบไปแว่บนึง เรื่องของนักร้องรุ่นใหญ่สูงวัย  มาพำนักในโรงแรมที่เคยมา  งงๆ

ตอนที่ ซู ฉี เล่นนั้น ก็เข้าท่า  เพียงมีบางฉากข้องใจอยู่นิดนึง  แต่ข้ามไปได้ไม่ก่อกวน

เยอะครับ  มีตอนสนุกๆอย่าง ตอนที่ อีธาน ฮอล์ก (ไม่เห็นหน้านานเชียว) เจอะกับ แม็กกี้ คิว

นี่ๆ  ได้เห็น โรบิน ไรต์ เพ็นน์ คนโปรดอีกที  สวยจัง  เท่เก๋ซะ  คุ้มแล้วได้เห็นหน้าเธอ

เรื่องสาวคนพิการออกเดทก็เด็ดดี

เรื่องนักแต่งเพลงที่  ออร์ลันโด บลูม เล่นกับ คริสติน่า ริชชี่ ก็ดีนะ อันนี้ก็น่ารักดี

อันเนี้ยกรูมึน

อันเนี้ยกรูมึน

อันนี้เด็ด อมยิ้ม

อันนี้เด็ด อมยิ้ม

รวมๆสนุกดี  มีที่งงๆอยู่นิดหน่อย  จำนวนเรื่องประมาณนี้ก็ดูกระชับดีนะ  อย่าง Paris นั้นพาลจะตกหล่นหายเอาง่ายๆ  แล้วอย่างที่ว่าบรรยากาศหนังโทนหนังเปลี่ยนไปพอสมควร  ก็เลยเกิดมีคำถามขึ้นมาว่า

ใน Paris นั้นการดำเนินเรื่องค่อนข้างจะเรียบง่าย  และชัดเจน (อือ…ไม่มีเรื่องเซ็กส์ด้วยนะ)

ใน New York นั้น ความสัมพันธ์ของผู้คนดูซับซ้อนกว่า  (และแน่นอนมีเรื่องเซ็กส์ด้วย)  มีบทสรุปในความสัมพันธ์ยากกว่า (และมีอะไรที่ดูเพี้ยนๆมากกว่าด้วย)

ใครที่เคยไปทั้งสองเมือง และได้ดูหนังทั้งสองเรื่อง  ขยายความให้เป็นความรู้หน่อย  ขอบคุณคร้าบบ…

NY_04

happy สบายๆ

nyi_1375

เรียกรอยยิ้มได้ดีเชียว

2009_new_york_I_love_you_008

โรบิน ไรต์ เพ็นน์ หาภาพด้านหน้าไม่ได้เลย

Read Full Post »

จากที่ได้เคยอ่านแมกกาซีน  แล้วเจอสัมภาษณ์  เจสสิกา อัลบ้า  ว่าเธอหลงใหลการเต้นขนาดไหน  ก็ได้มีประเด็นไปถามไถ่ครูสอนเต้นถึงหนังเรื่องนี้  ก็ได้ความว่าในมุมมองของคนเต้นนั้นชื่นชมอยู่  จับพลัดจับผลูไปเจอดีวีดีราคาราวแปดสิบบาท  ก็เลยได้มีโอกาสลอง  ก็ดีเหมือนกันหลังๆได้อยู่ใกล้คนเต้นมากขึ้นพาลให้พอเก็ทพอเข้าใจและสัมผัสได้ในสิ่งที่เขาเป็นอยู่เหมือนกัน  ได้เปิดโลกอีกใบ  เปิดประตูอีกบาน

Honey แม้จะเข้าสูตรฮอลลีวู้ดตามที  แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเลี่ยนเกินอย่างไร  ดูได้เพลินๆ  ถือว่ามีสามีระอยู่เหมือนกัน  เรื่องของครูสอนเต้นที่ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นคนออกแบบท่าเต้นของศิลปินใหญ่ๆ  แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นก็ผ่านอะไรอยู่  และต้องหลุดจากพื้นที่ตรงนั้นด้วยเงื่อนไขบางอย่าง  ขอบอก  เธอเต้นได้มีเสน่ห์สวยงาม  แข็งแรงจริงๆอย่างเขาว่า  ไม่ได้พูดจาเอากระแสอย่างไร

แนะนำในเชิงคนชอบหนังสบายๆ  เพลินๆ  ได้ดูคนสวยๆงามๆทั้งเรื่อง  ก็ต้องยอมรับว่าเธองามจริง  เก็บภาพเท่าที่หาได้มาให้ชมกัน

อันนี้สั้นแต่เแข็งแรงกว่า จะดูทันไหมเนี่ย

Read Full Post »

หนังจากปี ๒๐๐๗  ฝีมือผู้กำกับคนเก่ง หว่อง กาไว  ซื้อดีวีดีมาพักใหญ่  พึ่งได้จังหวะ

หนังลื่นไหลมาก  ว่าด้วยความสัมพันธ์ของผู้คนในหลายรูปแบบ  เริ่มจากคนที่ผิดหวังสองคนได้มีโอกาสมาพูดมาจากัน

หนึ่งหลงทางแล้วอยู่กับที่เพื่อรอเวลาให้คนมาค้นพบ

หนึ่งหลงทางแล้วออกเดินทางใช้เวลาเพื่อค้นหาตัวเอง

my_blueberry_night

my_blueberry_night

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสะท้อนให้เรารู้จักตัวเองได้มากขึ้น  ละเมียดละไมยิ่ง

ความเจ็บปวดผิดหวังนั่นคือจุดก่อการเริ่มต้นใหม่  แล้วอะไรเล่าจะเป็นสิ่งเลวร้าย

“ทุกคืน  ขนม…….จะหมดไป  จะเหลือก็แต่ พายบลูเบอร์รี่”

“นั่นไม่ใช่ความผิดของ พายบลูเบอร์รี่  นั่นเป็นเพราะคนไม่เลือกมันก็เท่านั้นเอง”

5

เข้าใจได้เลยว่าทำไมเลือก นอร่าห์ โจนส์  กับบทนี้  มันไม่ต่างจากบทเพลงของเธอเลย  มันลงตัวและทำให้เชื่อได้ง่ายดาย  ยิ่งมีเสียงสวยๆของเธอเล่าเรื่อง

ยิ่งพอได้ลงฉากกับ นาตาลี พอร์ตแมน ยิ่งขับให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน  สวยงาม

ฉากที่เธอสองคนแยกกันไป  โบกมืออำลา  ใจมันวูบเหงาตามไปด้วย  คนสองคนอยู่คนละฟากฝั่งปลายแขนที่เอื้อมสัมผัสได้

มีบทพูดเก๋ๆของ นาตาลี  ที่อยากให้ได้ฟังได้ดูเอง  คิดว่าถ้าเล่าจากความทรงจำ  น่าจะไม่ค่อยได้เรื่อง  ไม่กระชับและคมคายเท่า  ที่สำคัญมันต้องสถานการณ์ด้วย

14

หนังมันมีความลึกในอารมณ์ดียิ่ง

มีความเป็นคนดียิ่ง  ปุถุชนทั่วไปต้องสับสน เหตุผลบ้างอารมณ์บ้าง  บางคราวก็แยกชัดระหว่างเหตุผลและอารมณ์ไม่ได้  อารมณ์ก็คือเหตุผล  เหตุผลก็คืออารมณ์

เคยไหม  ที่ความสับสนของหนังทำให้เราสับสนตาม  เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่รู้สึกได้อย่างนั้น

ใครชอบหนังแนวนี้  ได้เลย  ได้มากๆ  ไม่อาร์ตเกิน  ไม่มีอะไรเข้าใจยากซับซ้อน  แต่ถ้าถี่ถ้วนกับบทพูดได้อีกนิดนึง  ก็จะได้ความงามเพิ่มเติมเป็นโบนัสไปชื่นชม

หรือใครอยากดูในแนวที่แตกต่างๆจากปกติ  ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร  อย่างที่ว่า  ไม่ได้อาร์ตอะไรนักหนา  อุ่นๆ  สวยงามดี  ดูจากภาพสิ  ลองเปิดพื้นที่ให้ตัวเองเพิ่มเติมกันดีไหม….

11

Read Full Post »

หลังจากลังเลว่าจะออกไปดูวันนี้ดีมั้ย  ฉุกคิดถึงกระแสรถไฟฟ้าฯ เลยต้องเข้าไปเช็ครอบ  น้อยรอบน้อยโรง  โรงใกล้สุดวันนี้มีเพียงสองรอบ  สี่โมงเย็นและสามทุ่ม กระแสฯรถไฟฟ้าฯแรงอย่างนี้  ต้องยึดโรงนานเป็นแน่  หนังแบบนี้ต้องถูกเด้งในเร็ววัน

เข็มใกล้เลขแปด  ตัดสินใจออกจากบ้านสู่โรงภาพยนตร์ทันที  อือ…มีคนดูอยู่ ๙ คน

16239_002

หนังฉายไปราวครึ่งชั่วโมง  รู้สึกภูมิใจขึ้นทันที  นี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในโลก  Fame เดิมหนังดังจากปี ๑๙๘๐ ถูกนำกลับมารีเมค ตีความใหม่แตกต่างไปมากมาย  มีอารมณ์มีด้านลึกยอดเยี่ยม  ที่แต่เดิมไม่ได้ให้ความสำคัญนัก  เวอร์ชั่นนี้ลงตัวกว่ามากๆ  หรืออาจจะว่าถูกจริตกว่าก็ได้

โคตรสนุก  ชอบสุดๆ  เข้าเป็นหนังท๊อปไฟว์ในใจได้เลยทีเดียว  ฉากสนุกทำเอาขยับตัวขยับตีนตาม  เรียกว่าแทบจะเต้นอยู่แล้ว  ฉากเอาอารมณ์ก็เอาน้ำตาออกมาได้  โฮ่ย…ชื่นชมไม่รู้จะว่ากล่าวยังไงแล้ว

เรื่องของเหล่านักเรียนในสถาบันสอนศิลปะการแสดง (ละคร เต้น ภาพยนตร์ ดนตรี ) ตัวละครมากมายหลากหลาย  แตกต่างที่มา  แตกต่างจุดหมาย  แตกต่างปัญหา  และปัญหาที่หนังได้เสนอมานั้นมันจริงเอามากๆ

หลายๆฉากมีพลังเอามากเอามายทีเดียว  รู้สึกได้ถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  ความสุขของเหล่าผู้คน  ความสับสนความเจ็บปวด  ความทุ่มเท  ฯลฯ ว่าไปก็มีแต่จะบอกว่ายอดเยี่ยม  เขาทำหนังกันชาญฉลาดอย่างยิ่ง

“ฉันอาจจะไม่ชนะ  แต่ฉันจะล้มไม่ได้” ประโยคเด็ดหนึ่งในหลายๆประโยคดีๆ  ที่มีอยู่เต็มไปหมด  ไม่ต้องสงสัย  ดีวีดีออกเมื่อไหร่  จะดูซ้ำๆให้หนำใจ

เอาฉากจำฉากเด็ดในครั้งเวอร์ชั่น ๑๙๘๐ ฝากไว้ด้วย  เผื่อใครนึกออก

อีกที  ชอบมากๆๆ  กำลังคิดอยู่ว่าเข้าขั้นหลงใหลรึเปล่า….

หนังแม่ง..โคตรเจ๋งเลยโว้ยยย   โว้ยยย  โว้ยยย

(ขอทักท้วง บทบรรยายภาษาไทย  จะใส่ประโยคอย่าง  ‘แด่น้องผู้หิวโหย’  เข้าไปทำไมเสียเรื่อง เสียอารมณ์  หรืออย่างอาจารย์ขึ้นร้องเพลงเก่า ก็ใส่ชื่อเพลงชื่อนักร้องตามที่เขาว่ามามันจะเป็นไร ไม่เห็นต้อง  ‘เพลงลืม ของ เบิร์ดกับฮาร์ท’  เลย  ขอตำหนิอีกทีว่ามันไม่เข้าท่า จะทำลายสิ่งที่เขาวางมาดีๆไปทำไม)

Read Full Post »

เนื่องด้วยเพื่อนดีมีน้ำใจชวนไปดูในรอบเพรส ในโรงหรูอลังที่พาราก้อน พันบาทถึงพันสองร้อยบาท ก็ขอขอบคุณที่เพื่อนนึกถึงอีกครั้ง

poster01หนังที่กระแสแรงตั้งแต่หนังตัวอย่างออกฉาย  ด้วยนักแสดงนำทั้งคู่  ถือเป็นหนังไทยที่มีเสียงอยากดูมากมายทีเดียว

สำหรับคนที่ชื่นชอบ คริส หอวัง ในบท ลี่ (เหมยลี่) เต็มอิ่มแน่นอน ถือว่าได้พบเจอเธอตลอดเรื่องเลย ไม่อั้น

หนังเรื่องนี้น่าจะแจ้งเกิดให้สาวคริสอย่างเต็มตัว  หลังจากบทที่ไม่ค่อยเด่นนักใน อีติ๋มตายแน่

อือ…น้องแกเล่นได้น่ารักน่าชังดีทีเดียว เยินได้ มีเสน่ห์ได้ ดูเป็นสาวหมวยธรรมดาที่พบเจอได้ทั่วไป  นี่น่าจะเป็นเหตุผลนึงที่เลือกเธอสำหรับบทนี้

ส่วนพี่เคนของอีกหลายๆคน ในบท วิศวกรบีทีเอส (ไม่บอกชื่อดีกว่า) ก็ยังคงเป็นคุณพี่เคนอย่างที่สาวๆคาดหวัง  อันนี้ถามปากคำจากบรรดาสาวๆที่รู้จักและร่วมดูกันในรอบนี้

หนังเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ  ยิ้มๆไป  ไม่ไคลแม็กซ์ ดูความเด๋อๆด๋าๆของคนไม่สันทัด  ขาดจริตหว่านเสน่ห์หนุ่ม  จนต้องให้น้องเพลิน (อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา โห…นามสกุล) สอนให้  น้องอังศุมาลินหรือน้องแพทเรื่องนี้สวยใสน่ารักมาก  โดดจากตอนเล่น ปิดเทอมใหญ่ฯไปก่ายกอง  poster02

ถ้าคาดหวังความตลกสไตล์จีทีเอช ก็ถือว่าน้อยกว่าปกติไปหลายช่วง  อาจจะรวมถึงมุกบางมุกที่ดูหวืดๆ  แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจำนวนคนดูมีส่วนหรือปล่าว  เพราะโรงแบบนี้มีคนดูไม่กี่คน  ความครึกครื้นหรือหลากหลายทางอารมณ์ของผู้ชมเลยน้อย  ก็ตั้งข้อสงสัยไว้อย่างนั้น

หากคาดหวังความซาบซึ้ง  ก็จัดว่าไม่ได้ทำให้ดราม่าอะไรมากมาย  พอให้มีลุ้นเล็กๆอยู่บ้าง

หนังมีลักษณะของความเป็นการ์ตูนญ๊ี่ปุ่นให้รู้สึกอยู่เป็นช่วงๆ

ตกลงก็ว่าหนังเพลินๆดี  คนข้างๆก็เห็นหัวเราะอยู่เรื่อยๆ  ใหญ่บ้างเล็กบ้าง  ออกจากโรงมาได้พูดคุยกัน  ก็มีคนที่ชอบ  ที่ว่าสนุกมากอยู่  คนที่ว่ามาสนุกกลางเรื่องไปก็มี  ไอ้เรื่องนี้คงต้องว่ากันตามรสนิยมกันไป

คิดอยู่ว่ารอบเพรสนี้  ลักษณะคนดูจะเหมือนหรือต่างจากคนดูทั่วไปอย่างไร  ความคาดหวังต่างไปอย่างไร  ก็ไม่มีคำตอบหรอกนะ  โชคดีที่ตัวเองเป็นคนที่หลุดพ้นจากความคาดหวังเหล่านี้  คืออยากดู น่าดู ก็แค่นั้น  ไม่ได้คาดหวังอะไร  อ้อ..อาจจะเรียกว่ามีอยู่หน่อย  คืออย่าห่วยเป็นโอเค  หนังเรื่องนี้น่ากลัวอยู่อย่าง  ก็ดีที่กระแสแรง  แต่กระแสความคาดหวังก็แรงไปด้วย  และถ้าตัวหนังทำไม่ได้ถึวขีดกระแสความคาดหวัง  คำวิพากษ์วิจารณ์คงมากันเละ

ที่คิดไว้ก็น่าจะรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกานะ  และก็รอดูอยู่ว่าหนังจะมาได้อย่างที่ตั้งใจมั้ย

postere04น้องแพท

แนะนำให้ลองดูลองชมนะ มีความสุขดี อย่างไรมันก็เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายในหนังไทย คิดพล็อตใหม่ๆคิดเรื่องใหม่ๆ วิธีนำเสนอใหม่ๆ

“บางคนอาจมีความรักมาหาตั้งแต่สถานีต้นทาง

แต่บางคนผ่านมาหลายสถานี…ก็ยังไม่เจอใคร

มาช่วยกันภาวนาให้สถานีต่อไป… เราได้เจอใครซักที”

Bangkok Traffic Love Story

posterinter01l

Read Full Post »

ผมกำลังรอเรือมารับกลับฝั่งบ้านเพในเวลาบ่ายสอง  นี่ก็ใกล้เวลาเต็มทีแล้วหล่ะ  ทริปเสม็ดคราวนี้ออกจะน้อยคนสักหน่อย  เนื่องด้วยวัยด้วยการงาน  พรรคพวกจึงมากันได้อย่างขาดแคลน

หัวโจกที่จัดนั้นราวกับทิ้งลูกทิ้งเมียมาเลยทีเดียว  ถึงแม้จะใช้คำว่าขออนุญาตภรรยามาแล้วก็ตาม  เพราะลูกนั้นก็ยังเล็กอยู่  แต่คงประมาณใจแตก  กูไม่ไหวแล้วว้อย…  นั่น..อย่างนั้น

อีกหนึ่งเป็นอาจารย์สถาบันขึ้นชื่อ  ซึ่งก็โชคดีที่ลงตัวกับเวลาปิดเทอมพอดิบพอดี  ทั้งยังโสดสนิทยิ่งไร้พันธะ  รวมผมคนทำงานอิสระถึงอิสระโคตรๆ  ราวกับจะไม่มีงานทำ  อิสระจากทุกสิ่งทุกอย่าง  จนเหมือนจะไม่มีแก่นสารอะไร

เราออกเดินทางเมื่อสองวันที่แล้ว  จากกรุงเทพฯสู่เกาะเสม็ด ลงเหยียบผืนทรายอ่าวไผ่ราวสี่โมงเย็น  เก็บข้าวเก็บของเข้าที่พัก   เดินไปเล็งที่ทำเลร้านอาหาร  จับจองและเริ่มดื่ม  จนกลายเป็นปักหลักดื่มเป็นเรื่องเป็นราว  แล้วเราก็ไม่ลุกไปไหนอีกจนเวลาเข้านอนราวตีสอง

สายๆวันรุ่ง  สิบเอ็ดโมงเราหิ้วสังขารกันไปรับประทานอาหารมื้อแรกของวัน  ด้วยความติดใจในทำเลที่นั่งเดิมของเรา  เมื่อที่ว่างเรารีบเข้าจับจองอีกครั้งทันที  ความงกที่หวงไข่ทำให้เกิดการสั่งเบียร์ขึ้น  และเราก็นั่งแปะตรงนั้นจนถึงราวสี่โมงเย็น

“เฮ้ย…ลงน้ำแหอะ  ซะหน่อยมาถึงทั้งที” ผมเอ่ยปาก

“แต่เดี๋ยวเสียที่นะเว้ย  มึงลงเหอะ  กูเฝ้าเอง”

ตกลงเราตัดสินใจเอาข้าวของ  ผ้าเช็ดตัว กีตาร์  หนังสือมาวางไว้ที่โต๊ะ  เท่านั้นยังไม่พอ  ยังกำชับกำชาเด็กที่ร้านเป็นอย่างดี  ให้ดูโต๊ะให้ด้วย  ไหนๆเมื่อคืนก็ได้พูดคุยถามไถ่สั่งของกันจนคุ้นเคยแล้ว

พวกเราเอาสังขารแหวกว่ายน้ำทะเล  เอาสมองที่มึนๆจากเมื่อคืน  กระแทกคลื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ดำผุดดำว่ายตามประสา  ใครบางคนออกอาการเหล่หญิงอย่างเห็นได้ชัด  ไม่เป็นไรคนเราย่อมต้องคิดต่าง

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป  จะเป็นใครขึ้นจากน้ำก่อนนั้นผมไม่แน่ใจ  แต่ก็ตามๆกันมา  อาบน้ำอาบท่าแล้วกลับสู่รังสุราแหล่งเดิม  ผู้คนเดินผ่านไปมาก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร  เอ…หรือนึกขำ  หรือสมเพช  ไม่รู้แหะ

“พี่ๆไม่ไปไหนบ้างเลยเหรอครับ” มีแขกถามแซวด้วยนะ

เราคุยอะไรกันตามเรื่อง  เล่นกีตาร์ร้องเพลง  บัดเดี๋ยวขำบัดเดี๋ยวเครียด  บัดเดี๋ยวแย้งบัดเดี๋ยวเยาะ  มีปากเสียงบ้างแล้วก็หัวเราะอีกวนเวียนไปมาราวกับเป็นกลุ่มคนผู้เสียสติ

พักใหญ่ๆก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมาร่วมวงสนทนาด้วย  บ้าๆบอๆกันไป

คืนนี้ฝนตกหนัก  โชคดีที่ตกตอนตีสาม  เราสลายวงตีสองสี่สิบห้า   อย่างนั้นประมาณนั้น  เดินฝ่าความมืดกลับที่พักพร้อมไฟวาบๆจากฟ้าแลบ  และมีเสียงฟ้าร้องไล่หลังให้เข้านอน  พอได้แล้วความเลอะเทอะเหลวไหล

เช้าวันนี้เราตื่นเช้าสักหน่อย  แปดโมงกว่า  ลงอาหารเช้าที่โต๊ะเดิม  แขกอื่นๆเขาคงเกรงใจเราไม่อยากมานั่ง  แม้จะเป็นทำเลดี  เขาก็มองเรายิ้มๆอย่างเคย   สายๆวันนี้เราดื่มประปราย  พอฆ่าเวลา  ไม่ทุ่มเทอย่างที่ผ่านมา

พี่ข้างห้องที่เราพักพร้อมแฟนสาวแสนสวยก็ทักทายเราอย่างดี  เขาคงรู้สึกขอบคุณที่เราไม่ไปกินไปโหวกเหวกแถวห้องพักทำลายความสงบของคู่เขา

น้องคู่ที่เมื่อคืนวานมาร่วมวงกับเราก็มานั่งคุยร่วมกัน  ก็ได้มีโอกาสถ่ายรูปกันไว้เป็นที่ระลึกตามสมควร

เรือมาแล้ว….

เรือมีสองชั้น  จำนวนแขกมากกว่านั้นอยู่ซักหน่อย   เราขึ้นไปได้ที่นั่งบนชั้นสอง  เราเจ็ดคนนั่งรวมๆกันหลวมๆด้านข้างเรือ  พอได้ที่ได้ทางขยับขยายตัวก็พอดีเรือออก

ผมเริ่มเล่นกีตาร์เบาๆ  ร้องกันเองพอได้ยินสามสี่คน  ทีนี้พี่ผู้หญิงที่พักข้างเรา  หันมาขอเพลง  เราก็เล่นดังขึ้น  น้องหนุ่มสาวขอบ้าง  เพลงก็ค่อยๆดังขึ้น

ผมหันไปมองผู้โดยสารอื่นๆที่ร่วมชั้นกันนี่  ใจนึงก็เกรงเขาจะรำคาญ  พอเห็นน้องผู้หญิงสองสามคนที่อีกฟากของเรือ  นั่งหันออกด้านนอกลำเรือแกว่งขาร้องเพลงตามที่เราเล่นกัน  ที่นี้ชักย่ามใจ  เล่นดังขึ้นอีก  พรรคพวกเราก็ร้องดังขึ้น  คนอื่นๆในเรือก็ร้องดังขึ้น

สุดท้ายกลายเป็นพวกเราทั้งชั้นราวกับร่วมมาทริปเดียวกัน  คนโน้นขอเพลงคนนี้ขอเพลง  เล่นได้เราก็เล่นไป  ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่นได้เสียด้วย  บรรยากาศยิ่งต่อเนื่อง  เล่นกระทั่งเพลงโฆษณาเอ็มเคสุกี้   เสียงร้องของใครต่อใครลอยคลอฟุ้งไปทั้งชั้น  ประกอบกับความกล้าหน้าไม่ค่อยอายของเพื่อนราที่นึกสนุก

“เอ้า…ครับ  นี่เป็นบริการเล็กๆน้อยๆจากพวกเรา  อ่าวไผ่รีสอร์ท  ใครอยากร้องเพลงอะไรลองขอมาได้นะครับ  เราเพียงอยากให้พวกท่านประทับใจ  และกลับมาเยือนเราอีก….” เหล่านี้สุดแต่มันจะทะเล้นว่าไป  ก็ได้เสียงหัวเราะครื้นเครงกลับมา

เหตุการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆจนเรือเทียบฝั่ง  ผู้คนเริ่มทยอยลุกขึ้นเสียงเพลงจบพอดีกัน

“เฮ้ย  เอายิ่งใกล้ยิ่งเจ็บเว้ย” โฆษกสั่ง

ผมขึ้นเพลง  โฆษกก็ขึ้นร้อง  ได้ผล  ดอกสุดท้ายของเรา  ผู้คนร้องเพลงไปแล้วค่อยๆทยอยกันไป  เรานั่งร้องนั่งเล่นจนเป็นกลุ่มสุดท้าย  เพื่อปิดรายการ

เราขึ้นจากเรืออย่างมีความสุข  โอกาสแบบนี้ความน่าจะเป็นมันน้อยเหลือเกินที่จะเกิด

“พี่ๆ” เสียงผู้หญิงมาจากทางไหนซักทาง  เราหันไปตาม

“ พี่ๆ  ขอบคุณมากเลยนะคะ  ไม่งั้นนั่งเรือเฉยๆคงเบื่อแย่   แต่เมื่อกี้มีความสุขมากเลยคะ  สนุกมาก  ขอบคุณอีกทีนะคะ” เรารับไหว้หน้าบาน

ทริปนี้นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว  คราวนี้เราทำให้คนอื่นๆมีความสุขได้ด้วยแหะ  เยี่ยมจริงๆ

P1180007(1)(ขออภัยที่เอารูปลงโดยไม่ได้ขออนุญาต  รูปก็เก่าแล้ว  เรื่องราวก็เก่าแล้ว  ขอเป็นพื้นที่ทรงจำเล็กๆที่หนึ่งนะครับ)

Read Full Post »

หลังจากติดตามคอลัมน์ “สามก๊กฉบับคนกันเอง” โดย เอื้อ อัญชลี ใน มติขน สุดสัปดาห์มาโดยตลอดอย่างชื่นชม และรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อ่าน

คราวนี้ได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของคุณ เอื้อ อัญชลี ในลักษณะนิยายบ้าง  ต้องบอกว่าชอบเอามากๆทีเดียว

เงาฝัน…”แท้จริงแล้ว ข้าฯ ฝันว่าตัวเองเป็นฝีเสื้อ หรือว่าผีเสื่อกำลังฝันว่าเป็นตัวข้าฯ กันแน่หนอ”…คำรำพึงของ “จวงจื๊อ” หลังหลับใหล แล้วฝันไปว่าตนกลายเป็นผีเสื้อ ลืมตาตื่น พบว่าตนเองเป็นคน หาใช่ผีเสื้อไม่ สิ่งใดเล่าคือความจริง หรือในทุกสิ่งมีกันและกัน เรื่องราวตามจินตนาการอันล้ำลึกมีชีวิตชีวาของ “เอื้อ อัญชลี” เล่ามิติของมนุษย์ที่เกิดมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย อยู่ท่ามกลางการแย่งชิงและคุณธรรมน้ำมิตร ผู้คนและขุนศึกต่างเกิดมาเริงโลก สร้างสรรค์ ฆ่าฟัน และกอบกู้บ้านเมือง ก่อนเหตุการณ์เคลื่อนไป วนเวียนซ้ำรอยตลอดประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสามก๊ก ดังฝันของผีเสื้ออันเริงรำร่ายปีกในเงาร่างของผู้คนเสมอมา… (คำโปรยจากปกหลัง)

จากจิตนาการผนวกกับเรื่องราวจริง บุคคลจริงในประวัติศาสตร์จีน  สร้างการเดินทางสู่ต้นธารกำเนิดแห่งปณิธานตำนานนิยาย “สามก๊ก”  ติดตามการเดินทาง หลอกว้านจง ก่อนที่จะเกิดแรงบันดาลใจ จนปณิธานสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นตำนานนิยาย

เดินทางผ่านยุคสมัยประวัติศาสตร์ปลายราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง  ผ่านยุคสมัยสามก๊กในครั้งนั้นสู่การรวมแผ่นดินของ จูหยวนจาง  เิปิดเผยให้แลเห็นธรรมชาติอันซับซ้อนและวุ่นวายของอำนาจและการเมือง

ผู้เขียนผูกเรื่องสร้างเรื่องได้ลื่นไหลเพลิดเพลินสนุกทีเดียว  กลมกลืนในระดับที่รู้สึกได้ว่าเนียนไปหมด  จัดเข้าอยู่ในหมวดเดียวนี้กันกับวรรณกรรมต่างชาติได้อย่างไม่มีปัญหา

ความซับซ้อนซ่อนเงื่อน ชั้นเชิง  คารมคมคาย  ปรัชญา คุณธรรม กลยุทธ น้ำใจ น้ำมิตร ล้วนมีพร้อมพรักในหนังสือเล่มนี้  จริงๆก็ยังอ่านไม่จบหรอกนะ  แต่ก็ใกล้แล้ว  ติดพันอยู่ทีเดียว  ติดพันจนตั้งใจว่าจะมาแนะนำเพื่อนๆกัน

พอได้รู้ว่า  “เงาฝันของผีเสื้อ” เข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดนวนิยายที่เข้ารอบสุดท้ายของรางวัลซีไรต์ ปี ๒๕๕๒ ก็ยิ่งยินดี

คัดสรรประโยคเด็ด ประโยคดี ที่มีอยู่เรียงรายทั่วทั้งเล่ม ซักหน่อยนึงนะ จะได้พอนึกบรรยากาศออก  แต่หากเกรงว่ารู้แล้วจะเสียอรรถรส ก็หยุดสายตาเสียที่บรรทัดนี้

“ข้าฯเป็นคนโง่เขลา  เมื่อได้รับการสั่งสอนอบรมมาให้ใช้มือขวาคีบตะเกียบ  จะให้มาใช้มือซ้ายก็รู้สึกฝืน”

“โบราณว่าสามคำไม่พ้นวิชาชีพตนเป็นเข่นนี้เอง  เรื่องกู้ชาติเจ้ายังคิดเหมือนเขียนบทละคร  คอยบอกบทให้คนเล่นตาม……แต่วิสัยมนุษย์ไม่ชอบเล่นตามบทที่คนอื่นเขียนให้หรอกนะ  ต่อให้เป็นบทบาทที่เหมาะสมก็ตาม  เพราะแต่ละคนก็มีเรื่องที่อยากแสดงอยู่ในใจทั้งนั้น…”

“เจ้ารู้ไหม  เวลาข้าฯเลือกซื้อเกลือ  ข้าฯจะดูจากคุณภาพของเกลือ  มิใช่ดูคนที่เอาเกลือมาขาย  เหมือนความคิดที่ดีมีประโยชน์  มันไม่สำคัญหรอกว่าออกมาจากปากของใคร  ถ้าข้าฯจะเชื่อเจ้าก็เพราะเกลือของเจ้ามีประโยชน์เช่นกัน”

ปิดท้ายด้วยนี่แล้วกัน

“คนอ่านสามก๊กที่ข้าประพันธ์  ล้วนก่อความคิดฝันขึ้นมากมาย  คนเข็ญใจทะเยอทะยานอยากเป็นเล่าปี่  บัณฑิตต่างคิดว่าตัวเองเป็นขงเบ้ง  ขุนศึกล้วนยื้อแย่งกันเป็นโจโฉ  คนขี้โมโหก็อ้างตัวเองเป็นบุคคลประเภทเดียวกับเตียวหุย  หรือคนขี้โอ่ถือดีก็นเห็นตัวเองเป็นกวนอู…..  แต่ละคนนำเอาพฤติกรรมของตัวละครมาสวมอ้างบนความต้องการของตัวเอง  แต่หาได้ซึมซาบในความหมายของปณิธานที่แท้จริง  พวกเขาชื่นชอบมันในด้านเล่ห์เหลี่ยมอย่างเดียว  และเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังว่าการใช้กลยุทธ์สามารถนำไปสู่ชัยชนะ  แต่ตัวข้าฯหาได้ต้องการเช่นนั้นแม้แต่น้อย”

Read Full Post »

นัดกันไปแจมที่ร้านตาหนุ่ยเมื่อศุกร์ต้นเดือน (7 สค.) 
ได้โอกาสลองเพลงใหม่ของ Tokarok กันหน่อย
เวอร์ชั่นแบบวงเหล้า MrKarn อัดใส่คลิปไว้ ซาวด์พอไปวัดไปวา จึงขอเอามาให้ฟังกันนะ  

ปล. ใครไอเดียแจ่ม ช่วยตั้งชื่อเพลงกันหน่อยน้า

Read Full Post »

Older Posts »