อสงไขย
การนับโดยทั่วไปเราจะนับเรียงตามลำดับตัวเลข เช่น 1,2,3, …. เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่านับเป็นตัวเลขสังขยา คือ ตัวเลขที่นับได้
แต่ถ้าหากมีจำนวนมากๆ จนเกินจะนับไหว จึงมีการมานับโดยการอุปมา คือการเปรียบเทียบเอา
แล้วตัวเลขแค่ไหนล่ะที่นับไม่ได้ เราจะนับกันสูงสุดแค่ไหน สมัยโบราณเขากำหนดว่าตัวเลขที่มากจนนับไม่ถ้วนแล้ว คือจำนวน 1 ตามด้วย 0 อีก 140 ตัว (10 ยกกำลัง 140) นั่นคือถ้าเกินไปกว่านี้ถือว่านับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็นจำนวน อสังขยา หรือ อสงไขย นั่นเอง
สรุป อสงไขย คือ หน่วยวัด(เวลา) ที่ใช้แทนจำนวนที่มากกว่า 10 ยกกำลัง 140
กัป
กัป คือ หน่วยวัดเวลา โดยอ้างอิงจากพระไตรปิฎกดังนี้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 514
๕. ปัพพตสูตร ว่าด้วยเรื่องกัป
[๔๒๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ฯ ล ฯ เมื่อภิกษุรูปนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไรหนอแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ กัปหนึ่งนานแลมิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.
ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า
[๔๓๐] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุเหมือนอย่างว่า ภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง สูงโยชน์หนึ่ง ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ปีต่อครั้น ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการหมดไป สิ้นไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงการหมดไป สิ้นไป กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้ว มิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่แสนกัป.
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ฯ ล ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
จบปัพพตสูตรที่ ๕
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 516
๖. สาสปสูตร ว่าด้วยเรื่องกัป
[๔๓๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไรหนอแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี ฯ ล ฯ หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.
ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า.
[๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุ เหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ๆ ออกจากนครนั้นโดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้นพึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่ร้อยพันกัป มิใช่แสนกัป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารกำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
จบสาสปสูตรที่ ๖
จากนิยามดังกล่าว ลองคำนวณเป็นปี ดังนี้
1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร (โดยประมาณ)
ประมาณว่าเมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร
1 กม. = 10 x 100 x 1000 = 1,000,000 ม.ม.
ระยะทาง 1 ก.ม. ใช้เมล็ดผักกาดเรียงต่อกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด
ระยะทาง 1 โยชน์ หรือ 16 ก.ม. ใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = 16 X 2,000,000 = 32,000,000 เมล็ด
ดังนั้น ถ้าเป็นปริมาตร กว้าง 1 โยขน์ x ยาว 1 โยชน์ x สูง 1 โยชน์
ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด = 32,000,000 x 32,000,000 X 32,000,000 = 32,768,000,000,000,000,000,000 เมล็ด
ใน 100 ปี หยิบเมล็ดผักออก 1 เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมด = 32,768,000,000,000,000,000,000 x 100
= 3,276,800,000,000,000,000,000,000 ปี
นั่นคือ เวลา 1 กัป ประมาณมากกว่า 3,276,800,000,000,000,000,000,000 ปี