Feeds:
Posts
Comments

Archive for May, 2010

ไม่มีอะไรอธิบายเนาะ

Read Full Post »

ยัง “ยินดีรับฟัง “อยู่เสมอ
คิดถึงเธอ “ใครคนเดิม” อยู่ไม่หาย
อยากให้รู้ “Not only me” ที่ฝันร้าย
นึกแล้วเราเศร้าไม่หาย “ตายทั้งเป็น”
“หมื่นปีแสง ล้านไมล์” ไปจากนี้
จะมีไหม “ประตู” ที่เปิดให้เห็น
ใน “ด้านมืดของดวงตะวัน” ที่ชัดเจน
อยากให้เห็น “เพลงไม่รัก” พักหัวใจ

คงต้องลาไปก่อนในคืนนี้
ขอน้องพี่จงฝันดีนะ Goodnight
พรุ่งนี้ตื่น สู้ต่อ พร้อมใจกาย
อยากบอกว่า Warm White I love u…ฮิ้วววว ^W

แฟนคลับเขาตั้งใจเขียนให้ปอง

http://www.facebook.com/photo.php?pid=4745308&op=1&view=all&subj=752159093&id=524537244&bcode=twAn-#!/photo.php?pid=348334&id=100000172808722

ถึงเราไม่ใช่ตัวศิลปินนักร้อง ก็รู้สึกดีไปด้วยไม่น้อยเนาะ (สัมผัสบางที่วรรณยุกต์ไม่ได้ ให้อภัยน้องเขานะ)

Read Full Post »

If I Ain’t Got You [Alicia Keys]

Some people live for the fortune
Some people live just for the fame
Some people live for the power yeah
Some people live just to play the game

Some people think that the physical things
Define what’s within
I’ve been there before
But that life’s a bore
So full of the superficial

Some people want it all
But I don’t want nothing at all
If it ain’t you baby

If I ain’t got you baby
Some people want diamond rings
Some just want everything
But everything means nothing
If I ain’t got you

Some people search for a fountain
Promises forever young
Some people need three dozen roses
And that’s the only way to prove you love them

And in a world on a silver platter
And wondering what it means
No one to share, no one who truly cares for me

Some people want it all
But I don’t want nothing at all
If it ain’t you baby
If I ain’t got you baby
Some people want diamond rings
Some just want everything
But everything means nothing
If I ain’t got you

Some people want it all
But I don’t want nothing at all
If it ain’t you baby
If I ain’t got you baby
Some people want diamond rings
Some just want everything
But everything means nothing
If I ain’t got you

If I ain’t got you with me baby
Nothing in this whole wide world don’t mean a thing
If I ain’t got you with me baby

[Lyrics from http://www.siamzone.com, MV from Youtube]

Read Full Post »

เย็นวันที่ ๘ ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปร่วมงานตลาดข้ามฟาก ที่ อ.ค่ายบางระจัน  จังหวัดสิงห์บุรี  ซึ่งเขาจัดตลาดสองข้างแม่น้ำน้อย  มีแพทอดเป็นทางเดินข้ามฟากพร้อมของขายและที่นั่งสำหรับรับประทานอาหาร

ที่นั่งเป็นแคร่ไม้ไผ่ประกอบเข้ากับม้านั่งเล็กๆ  เหมือนม้านั่งซักผ้าเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน  กว่าจะนั่งลงได้ต้องถอนหายใจโล่งอก  หัวข่งหัวเข่าแอบสะท้าน ใจก็หวั่นๆเกรงจะหงายหลังคะมำล้มฟาด  รู้ตัวทันทีว่าภาระนี้ยังไม่พ้น  มันจะมาอีกทีตอนที่ต้องลุกเนี่ยแหละ

สิ่งพิเศษของงานนี้คือ เขาจะฉายหนังกลางแปลงกลางแม่น้ำครับ  ตั้งจอตั้งที่ฉายกันลำน้ำกันเลย  เข้าท่าๆ

หนังกลางแปลง "ศึกบางระจัน"

เรื่องแรกคือเรื่อง “ศึกบางระจัน” นำแสดงโดย สมบัติ เมทนี กับ พิศมัย วิไลศักดิ์

เรื่องนี้มาจากบทประพันธ์ของ “ไม้เมืองเดิม” ที่รู้เพราะได้อ่านสมัยอยู่ศิลปกรรม  เป็นหนังสือบังคับอ่าน แต่หาซื้อไม่ได้  จำได้ว่าเมื่ออ่านจบซาบซึ้งดี  ชื่นชมอยู่  ก็ได้แต่บ่นๆกับผู้คนรอบข้างสมัยนั้น

“หนังสือดีๆ วรรณกรรมดีๆ  แ-ง ไม่มีขายว่ะ”

ขณะเดินออกจากงาน ได้ยินได้เห็นชัดเจนหนังเรื่องต่อไป “องก์บาก ๓” มายังไงเนี่ย  ชนโรงเปรี้ยงๆเลย (ไอ้เก่าก็เก่าซะ ไอ้ใหม่ก็ใหม่ล้ำ)

คืนนั้นหาที่พักยากเย็น  เอาเป็นว่าไม่มีเลยดีกว่า  ก็ได้พึ่งพาคนที่ทำงานทำของส่งนุก

“มาพักกับพี่เถอะ  ที่นี่หาที่พักยาก  รังเกียจที่บ้านพี่บ้านนอกเหรอ” คำบอกกล่าวทางโทรศัพท์ของพี่นิด

ตกลงเราก็รับคำเชิญพี่นิด  และพี่นิดนี่แหละที่เป็นชาวนา  เมื่อ ๗-๘ ปีก่อนแกเข้ามาที่ราชวงศ์ของานนุกทำ  งานพวกเอาโบว์ริบบิ้นประดิษฐ์เป็นดอกไม้  ซึ่งแกเอาไว้ทำเวลาว่างจากนา

จากนั้นก็แจกจ่ายไปลูกสาว  ไปคนในละแวก  แล้วแกก็เป็นศูนย์กลางการรับงานส่งงาน  จ่ายค่างาน  โดยใช้การส่งของรับของผ่านเครือข่ายรถตู้  ไม่ต้องเข้าเมืองมาเหมือนแต่แรก  และนี่ไม่ใช้กลุ่มเดียวที่รับงานอย่างนี้  มีกระจายอยู่ทั่วไป

“พี่เขาเป็นชาวนา แล้วใครสอนเขาทำพวกนี้ล่ะ” ผมแปลกใจ  ผมไม่คิดว่ามันง่ายนะ

“โอย…คนพวกนี้เขามีหัวอยู่แล้ว  ขอให้มีแบบให้ดู  แนะนำเทคนิคอีกหน่อย  พอได้ลงมือทำซักพักก็สบายแล้ว”

ถึงบ้านพี่นิดราวห้าทุ่ม  ลงจากรถสูดหายใจ…กลิ่นขี้วัวเต็มๆ

ฟูกมุ้งหมอนถูกจัดไว้เรียบร้อย  ในตำแหน่งนอนที่ปรกติเป็นของพี่นิด

“ตรงนี้มันมีลม  เดี๋ยวจะร้อน  ที่นี่ไม่มีแอร์  มีแต่พัดลม” พี่นิดเลือกที่ที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดให้กับผู้มาพำนัก

“พี่เป็นไงบ้าง นาพี่อยู่ไกลมั้ย” นุกถาม

“หลังบ้านนี่เอง  พรุ่งนี้โผล่หน้าไปก็เห็น” พี่นิด

“แล้วไปได้ดีมั้ย” นุก

“ปีที่ผ่านมาแย่  เพลี้ยลงอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหละ ได้แค่สามตันเอง” แกเล่า

“สามตันนี่เรียกว่าเยอะหรือน้อยล่ะ” ถาม

“เจ๊งหนะซี  พี่มีที่ยี่สิบห้าไร่  ธรรมดาต้องได้ไร่ละตัน  คราวนี้ขาดทุนยับเลย  ตอนนี้เลยลองเปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดแทน  แล้วก็ทำป่าแตง  พรุ่งนี้ไปดูสิ สวยนะ”

เรารับปากรับคำก่อนเข้านอน

ที่พักของเรา

เจ้าของมื้อเช้าทำดอกไม้รอแขก

หลังบ้าน...จากที่นาเป็นที่ข้าวโพด

ชัดๆ...ว่าหลังบ้านขนาดไหน

สายๆ ร่วมเก้าโมง กว่าที่มนุษย์เมืองสองคนจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นชีวิตวันใหม่อย่างเป็นเรื่องเป็นราว  เพราะหลับๆตื่นๆอยู่ตลอด  หมาเห่า  ไก่ขัน  เสียงผู้คนส่งเสียงแต่หกโมงเช้า

เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ  ก็คว้าโรลออน คว้าสเปรย์ อย่างคุ้นเคย พลันก็ได้กลิ่นที่ทักทายเราแต่ก้าวแรกที่มาถึง  แล้วก็ได้แต่ยิ้มขำๆ

“เออเนอะ  กรูเอากลิ่นเหี้ยอะไรมาใช้ที่นี่เนี่ย  ท่ามกลางกลิ่นขี้วัวเนี่ยนะ”

หลังมื้อเช้า  ลูกพี่นิดเจ้าของฝีมือทำกับข้าว (แกงส้ม  ต้มยำช่อนนา  ผัดดอกกะหล่ำ) คุยกับเราว่า

“แม่ไปป่าแตงแต่หกโมงกว่าแล้ว  กับข้าวพวกนี้แม่ฝากไว้ให้ดูแลพี่ๆ  พอทานได้นะพี่  บ้านนอกอย่างเราก็กินกันอย่างนี้แหละพี่”

“ส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ค่อยกินเนื้อกัน  เราจะกินปลาเป็นหลัก  เดี๋ยวก็ไปออกแห  เอามาแบ่งกัน” ก่อนจะยื่นถาดผลไม้ ที่ประกอบด้วย มังคุด กล้วย ลิ้นจี่

“ที่นี่เรากินแต่ผลไม้  ไม่มีขนมหวานนะพี่”

“คนที่นี่แทบจะไม่เสียตังค์ซื้อกับข้าวเลยพี่  เราหากินกันแถวนี้  อย่างเมื่อเช้าหนูไปส่งลูก  เจอบ้านนู้นเขาก็ให้มะม่วงมา  พอหนูได้ปลามาเยอะ  หนูก็เอาไปแบ่งเขา  มันเป็นอย่างนี้ทุกๆวัน  เป็นปกติพี่”

ผมแอบรำพึงในใจ

“คนบ้านนอก  กินของสด  ของถูก  ไอ้คนเมืองอย่างเราทำงานเยอะๆ หาเงินมาซื้อของแพง คุณภาพต่ำ  อือ…”

ถึงเวลาออกเยี่ยมป่าแตงแล้ว  แตงที่ว่าคือแตงกวา

พี่นิดผู้อารี

มือนี้...ที่คัดสรร

นี่แหละ...ป่าแตง

พี่เล่าให้ฟังว่า  หลังจากลงเมล็ด สองวันต้นก็ขึ้น   หนึ่งเดือนก็เก็บเกี่ยวผลได้  หลังจากนั้นก็เก็บได้ทุกวัน  จนต้นโตถึงระดับหนึ่งก็รื้อทิ้ง  เพราะจะเก็บเกี่ยวไม่ได้แล้ว

ชาวบ้านที่มารับจ้างเก็บได้ โลละบาท  ถึงแผงได้โลละสิบสี่บาท  ถ้าลูกใหญ่ไปก็อาจจะเหลือโลละเจ็ดแปดบาท

ได้ยินชาวบ้านที่มารับจ้างเก็บแตงคุยกัน

“เอ็งเคยใช้ปุ๋ย….. มั้ย  ไอ้ที่ขวดสี…..  ฉลากสี……”

“โอ้…  ไอ้นั่นมันเร่งมากไป  โตเร็วเกินไป  ไม่ดี  เก็บไม่ทัน  ของเสียหมด  ”

ออกจากสิงห์บุรี  เรามุ่งสู่บ้านควายไทย จังหวัดสุพรรณบุรี   เลือกรูปมาฝากแล้วกัน

ทริปนี้แตกต่างไป  แต่อุ่นๆอิ่มๆอีกแบบนึง  ดีเหมือนกัน

ร้อนจริงๆ

แสดง สะพานควาย ข้ามห้วยข้ามน้ำ ในสมัยก่อน

Read Full Post »

หลังจากวันเริ่มก่อการ ขณะนี้ Symposium 74 ของเรากำลังจะครบ 2 ปีในเดือน มิย. นี้แล้วจ้า

มีเพื่อนๆเข้ามาร่วมแจมกันพอสมควร ยอดผู้เข้าชมก็ไม่น้อย (กำลังจะ 60,000 แล้ว)

นับเป็นแหล่งพบปะของพวกเราอีกทางหนึ่ง แม้จะอยู่ห่างไกลกัน และพาให้เกิด Symposium Trip มาหลายครั้ง

ทาง Admin. จึงขอมอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับสมาชิกดังนี้

1. Author ที่ Post มากที่สุด

2. Post ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด (ดูจาก Blog Stat)

2. Post ที่โดนใจที่สุด (อันนี้ ขอให้เพื่อนๆ ช่วยกันโหวตมาด้วยนะ)

สรุปผลวันที่  10 เดือนหน้า ระหว่างนี้ สามารถ Post มาได้อีกนะ

มอบรางวัล ใน Symposium Trip รอบหน้า

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ร่วมแจมทุกท่าน

Read Full Post »

แวะเอามาฝากจ้า

จาก Youtube  “YOGI Sumit Saadhak Practicing Pranayama and Nauli kriya In Himalyas”

โยคะศาสตร์มหัศจรรย์จริงๆ ทำให้น่าเชื่อได้ว่า เมื่อสำเร็จขั้นสูง จะสามารถควบคุมการทำงานต่างๆของร่างกายได้ อย่างเช่น วิชาโยกย้ายเส้นเอ็น

Read Full Post »

เสิร์ชดูงานตัวเอง เช็คโน้นเช็คนี่ แล้วก็หลุดเข้าไปในโลกของปิงปอง  เออ…เว้ย  เจ๋งดีว่ะ

เอามาฝาก  เพลินๆ  ฟิ้วๆ

สุดท้าย  ท้ายสุด นี่ดูไอเดีย

Read Full Post »

วิสาสะ น. ความคุ้นเคย, ความสนิทสนม; การถือว่าเป็นกันเอง เช่น หยิบของไปโดยถือวิสาสะ. ก. พูดจาปราศรัยอย่างคุ้นเคยกัน เช่น ไม่เคยวิสาสะกันมาก่อน. (ป. วิสฺสาส; ส. วิศฺวาส).

(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542)

บ้านไม้หลังเก่าอายุกว่าหกสิบปี สภาพทรุดโทรมผุพังได้ถูกเราพลิกฟื้นตกแต่งด้วยงบประมาณอันจำกัดเพื่อเนรมิตให้มันเป็นบ้านและร้านอาหารเล็กๆ อยู่ในซอยอารีย์สาม เราใช้เวลาคิดและตกแต่งมันอย่างเมามันไม่ต้องอิงหลักการใดๆ ตัวบ้านทาสีครีมอ่อนตัดด้วยกรอบหน้าต่างสีขาว ด้านนอกปูหญ้าและหินสีแดงเป็นแนวทางเดินโค้งโรยด้วยหินกรวดขนาดเล็ก สารพัดพันธุ์พืชถูกลำเลียงมาวางไว้ตามขอบตามมุมต่างๆ บ่อน้ำรูปสี่เหลี่ยมวางขวางหน้าบ้านให้ทางเดินแยกออกเป็นซ้ายขวา ก่อนจะเข้ามารวมกันอีกครั้งหน้าชานบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องสีเขียวอ่อนลายโบราณ ภายในเราเลือกใช้สีเลือดหมูส้มโดยไม่มีเหตุผลใดๆ นอกจากว่ามันเป็นอารมณ์วูบหนึ่งที่รู้สึกว่าสวยดี สามสี่เดือนของการเติมโน่นนิดนี่หน่อยเราก็ได้สถานที่เราชอบใจยิ่งนัก

บ่อยครั้งที่บอกชื่อร้านอาหารให้ผู้คนฟัง สิ่งที่ได้รับกลับมามักจะเป็นความสงสัยว่าทำไมตั้งชื่อในเชิงลบและก้าวร้าวแบบนั้น จริงๆ แล้วคำว่าวิสาสะน่าจะเป็นคำดี เพียงแต่ถูกใช้ในแง่ลบบ่อยเกินไป โดยเฉพาะการทำอะไรไม่เกรงใจเพราะความเป็นกันเอง หรือการถือวิสาสะนั่นแหละ ในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนคิดถึงคือการพบปะสนทนาวิสาสะกันอย่างคนคุ้นเคย ซึ่งเป็นความตั้งใจแต่อาจจะไม่รอบคอบของคนตั้งชื่อที่หวังให้ที่นี่เป็นที่นั่งกินข้าว พูดคุยพบปะ ทอดหุ่ยสบายๆ ในบรรยากาศบ้านสวนกลางหมู่คอนโดซอยอารีย์ (แต่ตอนนี้พบว่าอากาศหน้าร้อน สวนร่มรื่นเท่าไหร่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ด้วยเหตุว่าเปิดเฉพาะช่วงกลางวัน ต้องอาศัยห้องแอร์อย่างเดียว)

หลังจากที่เลื่อนเปิดไปจนไม่อยากจะเลื่อนอีกแล้ว ตอนนี้ร้านก็เปิดแล้วแบบงงๆ แบนเนอร์ป้ายหนึ่งที่แขวนไว้หน้าร้านตั้งแต่ก่อนมีป้ายร้านจริงๆ เป็นแบนเนอร์โปรโมตข้าวแช่สีสะดุดตาจนคนเอาไปคิดว่าร้านนี้ขายข้าวแช่เป็นหลัก มีโทรศัพท์มาถามเรื่อยๆ ว่า ที่นั่นร้านข้าวแช่ซอยสามใช่ไหม

จริงๆ เราเริ่มต้นด้วยอาหารบ้านๆ สี่ห้าอย่างก่อนจะแตกยอดออกมาเป็นของทานเล่นและอาหารพิเศษอย่างข้าวแช่และก๋วยเตี๋ยวบก คอนเซ็ปท์ร้านที่วางไว้แต่แรกก็คืออาหารจากวัตถุดิบที่ดี ราคาสบายๆ และที่สำคัญพยายามมีอาหารแปลกๆ ตามกลยุทธบลูโอเชียน เพราะการแข่งขันในเรดโอเชียนละแวกนี้สงสัยจะสู้คนอื่นไม่ไหว อาหารที่ได้รับความนิยมช่วงสองอาทิตย์แรกนี่จะเป็นโรตีแกงเนื้อกับปลาทรายทอดขมิ้น ส่วนแกงเหลืองไหลบัวที่คาดว่าจะมาแรงกลับไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ กุ้งทอดแบบปักษ์ใต้ก็ได้รับคำชมมากพอสมควร ที่ยังหวั่นๆ ก็คือความเป็นแม่ละเมียดของแม่ครัวและผู้ช่วยที่เรามักจะได้คำชมเสมอว่าอาหารช้าได้ใจ แต่ตอนนี้เริ่มลงตัวขึ้น เริ่มเรียนรู้แล้วว่าจะย่นระยะเวลาการเตรียมตัวยังไง

ว่างๆ ขอเชิญเพื่อนฝูงเข้ามาสนทนาวิสาสะ เปิบข้าวแดงแกงร้อนกันได้ตามชอบใจ

ปล. 1 ได้โพสท์ที่ห้าร้อยโว้ย ฮ่าๆๆ

ปล. 2 เก็บค่าโฆษณาป่าววะ

Read Full Post »

วันก่อนง่วนอยู่กับการค้นหาความหมายของคำที่จะมาตั้งชื่อร้าน ปรากฏว่าอากู๋ชักนำให้เข้าไปเจอเรื่องที่เคยค้างคาใจเรื่องหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ อ่านแล้วก็รู้สึกดีว่าไม่ได้มีเราที่คิดอย่างนี้คนเดียว ยังมีคนอื่น (ตั้งใจ) ใช้ผิดเหมือนเราด้วย

สังสรรค์ – สังสันทน์ 

…จดหมายฉบับแรก “ครูภาษาไทย” (ไม่ทราบอยู่ไหนส่งเป็นโทรสารมา ถามว่า “ช่วยตรวจสอบคำว่า สังสรรค์ ซึ่งสกุลไทยมักใช้ สังสันทน์ ว่าถูกหรือผิด เพราะดิฉันเปิดพจนานุกรมก็ไม่พบ เปิดหนังสือ “อ่านอย่างไร เขียนอย่างไร” ฉบับราชบัณฑิตยสถานก็พบข้อมูลว่า คำที่ถูกคือ สังสรรค์ และมักเขียนผิดเป็นสังสรร สังสันทน์…”

เรื่องนี้ขอเรียนว่า “สุดสงวน” ดื้อดึงเขียนไปเอง และสกุลไทยก็พอใจใช้สังสันทน์ ในที่ที่ “ไม่เป็นทางการ” ด้วยเหตุที่เราชอบรูปคำ “สันทน์” ซึ่งน่าจะมาจาก “สนฺทน” หรือที่เราใช้ “สนทนา”

“เรา” หมายถึง เพื่อนหัวดื้อของ “สุดสงวน” หลายคนซึ่งล้วนเป็น “ครูภาษาไทยดีเด่น” หลายปี หลายคนต่างเห็นเหมือนกันว่า การไปพบปะชุมนุมกันของญาติสนิท เป็นการไป “พูดคุย สนทนา” กันเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยไปร่วมกัน “สร้างสรรค์” สิ่งอันเป็นสารประโยชน์จริงจังใดๆ (สรรค์ = สร้าง สัง = ร่วม)

ไม่อย่างนั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ พ.ศ.๒๕๓๙ หน้า ๘๑๙ จะมีคำว่า “สังสนทนา สั่งสนทนา” แล้วแปลไว้ว่า “พูดกันฐานกันเอง พูดจาหารือกัน มักใช้ สั่งสนทนา” และวงเล็บว่า คำบาลีใช้ “สสํนฺทนา ว่า การเทียบเคียงกัน” หรือ?

สังสนทนา หรือ สั่งสนทนา นั้นน่าจะเป็นการที่เราไปพบปะพูดจาคุยกันอย่างเป็นกันเอง หรือ พูดจาหารือกัน ประหนึ่งนกกระจอกแตกรัง ไม่ค่อยมีใครไป “สร้าง” (สรรค์) อะไรเป็นงานเป็นการ

ส่วนคำถัดมาในหน้าเดียวกันนั้น พจนานุกรมฯ ท่านเก็บคำ “สังสรรค์” ไว้แล้วอธิบายว่า “การพบปะวิสาสะกันเป็นครั้งคราวด้วยความสนิทสนม” มีคำไหนที่แปลว่า “พบปะ” “วิสาสะ” “เป็นครั้งคราว” และ “สนิทสนม” ในเมื่อคำว่า “สัง” แปลว่า “ร่วม” และ “สรรค์” ซึ่งมาจากภาษาสันกฤตว่า “สรฺค” แปลว่า “สร้าง” “ทำให้มีขึ้น” อย่างคำแปลในหน้า ๘๐๓ ในพจนานุกรมฉบับเดียวกัน

ทั้งหมดคือ ความดื้อดึงของคนที่มีความเห็นอย่างพวกเรา ซึ่งขอย้ำว่า ล้วนเป็นครูภาษาไทยมาคนละร่วม ๔๐ ปี ทั้งนั้น

แต่คุณ “ครูภาษาไทย” ต้องบอกนักเรียนของท่านว่านั่นเป็นความเห็นของพวกนอกราชการอย่างพวกเราเท่านั้น ถ้านักเรียนจะตอบข้อสอบเอาคะแนนต้องเขียนสังสรรค์เอาคะแนนและเอาตัวรอดไปก่อน

เมื่อออกมา “นอกระบบ” อย่างเพื่อนๆ ของ “สุดสงวน” ค่อยเขียนอย่างที่ใจตัวเห็นว่า “น่าจะถูกต้อง”

อย่างไรก็ตาม เมื่อกติกากำหนดไว้ว่าราชบัณฑิตยสถานเป็นผู้รวบรวมภาษาไทยฉบับมาตรฐาน และมาตรฐานคือความถูกต้อง ผมก็เลยเห็นควรว่าคำว่า สังสรรค์ เป็นคำที่ถูกต้องจนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงจากราชบัณฑิตยสถานเอง

แม้ว่าในชีวิตจริงพวกเรามักจะร่วม สันทน์ กันบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้ร่วม สรรค์ กันเท่าไหร่ก็เหอะ

Read Full Post »