Feeds:
Posts
Comments

Archive for July, 2009

อยู่ดีๆก็นึกถึงวันที่ไปสัตหีบ …….. ขี้เกียจบรรยายอ่ะ เอางี้แล้วกัน

อยากเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ บรรยากาศแบบวงเหล้าๆ ประมาณที่สัตหีบ หรือแบบที่พัทยาเมื่อปีโน้น

ประมาณว่ามีกีต้าร์ เบส คาฮอง เครื่องเคาะนิดหน่อย แล้วก็มีนักร้อง

เดิมทีตั้งใจว่าจะทำแบบห้องซ้อมที่บ้านเลย แต่ซ้อมแล้วไม่ได้เล่นก็ไม่หนุกหว่ะ จะรอเล่นงาน 74Reunion ก็อีกนาน

แล้วก็ไม่รู้ว่าพรรคพวกอยากจะเล่นมั๊ย

คิดไปคิดมาก็มีอีกที่ที่พอได้ก็น่าจะเป็นร้านสเต๊กของหนุ่ย ซึ่งก็ต้องขออนุญาตมันก่อน ว่าจะได้มั๊ย

อาจจะเล่นอาทิตย์ละวันหรือสองวันหรือสามวันหรือไม่เล่นเลย

คิดว่าถ้ามีดนตรีแล้วเนี่ยน่าจะทำให้ร้านมันคึกคักขึ้น …. รึปล่าววะ

ประมาณเนี๊ย >>>

เฟสแรก

กีต้าร์ + คาฮอง ส่วนเบสกะไมค์ร้องก็เสียบแอม

ถ้าโชคดีมีเฟสสองจะได้ไปถอยอันนี้อ่ะ >>>

แล้วเล่นแบบนี้เลย

คิดว่าเรื่องได้ซ้อมได้เล่นคงจะได้ตามที่ต้องการส่วนเรื่องค่าจ้างเนี่ยไม่รู้จะยังไงดี คือกลัวว่าเรียกค่าจ้างเดี๋ยวมันไม่ให้เล่นจะอดกันไปหมด ก็เอาเป็นเบียร์ให้นักดนตรีคนละขวดดีมั๊ย วันไหนมาเยอะก็หลายขวด

ก็กลัวอยู่ว่ามันจะเป็นการเผาหัว แล้วไม่จบง่ายๆ สุดท้ายร้านหนุ่ยก็จะขายได้เยอะขึ้นโดยอัตโนมัติ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว

ประมาณนี้แหละ ว่าไงท่าน นีโม จานเอก ต่อขาร๊อค  หรือจะไปเชิญ ก๊อบเกินร้อย (วันนั้นมันเล่นเกินคุ้มจริงๆ) มาอีกคนก็ได้ จะได้ประสานหนุ่ยมัน

ว่าไง…..เอาน่า ขำ ขำ …..อ้อ Come on humor me

อิ อิ

Read Full Post »

“แพรวา  เช้าแล้วลูก  ตื่นได้แล้ว  เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะลูก “

เสียงเดิมๆ ประโยคเดิมๆอย่างนี้เสียดเข้าหูหนูเกือบทุกเช้า  ทุกเช้าที่ต้องไปโรงเรียน  ทุกเช้าที่ต้องเรียนพิเศษ

“หนูขออีกสิบนาทีนะแม่น้า  หนูขออีกนิดนึง”  หนูก็ต่อรองอย่างนี้ทุกเช้าเหมือนกัน  โถ…เด็กประถมอย่างหนูจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาตื่นเช้าๆทุกวัน

“สิบนาทีเท่านั้นนะ  อย่าโกงแม่ล่ะ” แม่ก็ยอมหนูทุกครั้งเหมือนกัน

หนูดึงผ้านวมปิดหัวปิดทั้งตัว เพื่อเอาไออุ่น  จากห้องที่ยังมีความเย็นของแอร์ค้างอยู่  บ้านเราตั้งแอร์ให้ปิดก่อนเราตื่นทุกเช้า

“นี่ชั้นจะต้องตื่นเช้าอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่หน้อ  เด็กคนอื่นๆนี่เขาจะต้องตื่นกันอย่างนี้เหมือนกันมั้ยนะ” ความคิดหนูใต้ผ้านวม

ห้านาที…แปดนาที…เก้านาที

“แพรวา  ได้เวลาแล้วลูก” เสียงแม่ตะโกนมาจากข้างล่าง

“จ้าแม่  หนูตื่นแล้ว” หนูส่งเสียงกลับ  ค่อยๆเลิกผ้านวมช้าๆ มันยังขี้เกียจอยู่นี่

“อะไรหน้อ  ที่ทำให้เราต้องมาตื่นเช้าอย่างนี้” หนูแอบคิดขณะเลิกผ้านวมพ้นศีรษะ หนูค่อยๆลืมตาขึ้น  แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาในห้องจากช่องว่างระหว่างม่านทั้งหลาย

“นี่ไง  นี่ไง ตัวการทำให้เช้า” เหมือนหนูจะได้คำตอบแล้ว

“แสงแดดนี่ไงที่ทำให้ทุกคนต้องรีบตื่นมาทำนู้นทำนี่  แต่เอ…จะโทษแสงแดดก็เหมือนจะไม่ถูกน้า  ก็แสงมันมาจากพระอาทิตย์  ใช่ๆตัวการที่แท้จริงมันคือพระอาทิตย์นี่เอง  ใช่แน่ๆ” นั่นเป็นคำตอบสุดท้ายก่อนที่จะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ

เธอป่าวประกาศบอกเพื่อนๆ ว่า พระอาทิตย์นี่แหละตัวดี  ตัวการที่ทำให้เด็กๆอย่างพวกเราต้องตื่นเช้าอย่างน่าสงสาร

“แต่พ่อแม่เราเขาก็ตื่นเช้าอยู่แล้วนะ  ตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอีกแหนะ” เพื่อนบางคนก็ค้านแพรวา

“ใช่ไง  เพราะเขาต้องตื่นมาเตรียมนู้นเตรียมนี่รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้นไง โฮย…นี่นะ  ถ้าพระอาทิตย์รีรออีกหน่อยนะ  ทุกคนก็ได้พักผ่อนเต็มที่กว่านี้แล้ว” หนูอธิบาย  เชื่อหนูสิ  นี่คือการค้นพบนะเนี่ย

“แพรวาตื่นๆลูก  รีบมาอาบน้ำเร้ว” เสียงแม่อีกแล้ว

“แม่   วันนี้วันเสาร์ไม่ใช่เหรอ  หนูตื่นสายได้หน่อยนึงนี่ค่ะ” ถึงหนูจะงัวเงีย  แต่หนูมั่นใจ  หนูรอคอยวันนี้มาทั้งอาทิตย์นี่

“ใช่จ้ะ  แต่วันนี้พ่อจะพาเราไปเที่ยวทะเลไง  ออกเช้าๆอากาศสดชื่น  ไม่ต้องรีบร้อนไงจ้ะ”

อ้อ…ใช่ๆ  วันนี้หนูจะได้ทิ้งการเรียนทุกอย่างเพื่อไปเที่ยว  ดีใจจัง

พลังอะไรก็ไม่รู้ดันหลังหนูขึ้นจากเตียง  เจ้าพลังนั้นเหวี่ยงความงัวเงียเพื่อนสนิทของหนูทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ไม่เป็นไรนะ  ไม่เจอกันซักวัน

นี่ไงๆ  ตื่นเช้าทุกๆวันจนจำไม่ได้เลยว่าวันไหนเป็นวันไหน  หนูคิดค้อนพระอาทิตย์เสียทีหนึ่ง  ก่อนจะวิ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวพุ่งเข้าห้องน้ำ

มันเป็นวันที่สดชื่นจริงๆ  หนูแทบจะเอาหน้าแนบกับบานหน้าต่างกระจกรถ  เมื่อพ้นเมือง  พ่อให้เปิดหน้าต่างสูดหายใจลึกๆ   …ชื่นใจจัง    เราเห็นสีเขียวจากต้นไม้หนาตาขึ้น  มีบ้านอาคารอยู่อาศัยแทรกเป็นระยะมันต่างจากเช้าวันไปโรงเรียนจริงๆเลย

ทั้งวันเป็นวันแห่งความสุข  ทั้งกินทั้งเล่นสบายใจนัก  หนูยิ้มแก้มปริแทบจะทั้งวัน

ล่วงเข้าเวลาเย็นมากแล้ว  เดี๋ยวเราจะมีปาร์ตี้ปิ้งย่างอาหารทะเลกันตามที่พ่อบอก  ตอนนี้หนูนั่งเล่นอยู่บนหาดกับแม่  เราเพิ่งขึ้นจากทะเล  เรากลับมาเป็นคนมองคนอื่นๆที่กำลังเล่นน้ำ  เสียงหัวเราะลอยมากับกระแสลมอยู่เรื่อยๆ

“ทะเลนี่ดีจังนะแม่  มีแต่คนมีความสุขเต็มไปหมดเลยค่ะ” หนูว่านะ

“จ้ะ  จริงๆหนูต้องบอกว่าบนชายหาดล่ะมั้งค่ะ  ทะเลมันกว้างไปน่ะจ้ะ   หนูไม่รู้หรอกบนเรือตรงนู้นตรงนั้น  คนเขาทำอะไรกันอยู่หนะ  เขาอาจจะกำลังทำงานไม่ได้มาพักผ่อนอย่างพวกเราก็ได้นะ” แม่พูดพลางชี้นิ้วไปที่เรือที่อยู่ไกลออกไป  ซึ่งก็มีให้เห็นกระจายทั่วผืนน้ำ  แต่แหม…ขัดใจจัง  ก็หนูไม่เห็นนี่ว่าคนพวกนั้นเขาทำอะไรยังไงกัน  เอาเท่าที่หนูเห็นไม่ได้เหรอ ….แหม…แม่นี่

“แม่จะไปล้างตัวแล้ว  ขึ้นกันหรือยังล่ะ” แม่ถาม

“หนูนั่งตรงนี้อีกแป๊บได้ไหมค่ะ  นานๆมาทีหนะแม่” หนูยังขัดใจอยู่อีกนิด

“อยู่ตรงนี้  อย่าไปไหนนะ  เดี๋ยวแม่มา” ว่าแล้วแม่ก็ลุกไป

หนูนั่งมองขอบฟ้า  ขอบทะเล  บรรดาเรือที่แม่เอามาขัดหนูเมื่อกี้   ผู้คนเล่นน้ำกัน  ลมพัดเย็นๆ

หนูเงยหน้าขึ้นมาอีกหน่อย  นั่นไง …เจ้าพระอาทิตย์  สวยจัง  กลมแดงเป็นไข่เค็มเชียว  นี่เจ้าต้องยิ้มอยู่แน่ๆเลยใช่มั้ย

“ใช่จ้ะ” เสียงเบาๆข้างๆหู

“ฮื่อ    เสียงใครหนะ” หนูตกใจ

“ก็ไอ้ที่หนูว่ากลมแดงและกำลังยิ้มอยู่ไงจ้ะ” เสียงนั้นตอบมา  ก่อนจะพูดต่อ

“ฉันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ  ที่ต้องออกมาให้เธอเห็นทุกๆวัน  บางวันฉันก็อยากจะนอนนานๆ    อยากพักไปเที่ยวบ้างเหมือนกันนะ”

“แล้ว…แล้ว…ทำไม  ไม่ไปล่ะ” หนูทำใจกล้าถามไปในความคิด

“อือ…มันเป็นหน้าที่ของฉัน  แล้วฉันก็ภูมิใจกับมันนะ  ถึงจะมีบางวันที่เหนื่อยๆและท้อไปบ้าง  ฉันยึดมั่นในหน้าที่ของฉันมายาวนานก่อนเธอเกิดมากมายนัก” เสียงนั้นตอบ

“มีวันที่เหนื่อยด้วยเหรอ” หนูถาม

“ก็บางวันก็มีคนมาตำหนิฉัน  มาว่าฉันเป็นตัวการเรื่องร้ายๆโน่นนี่”

“น้อยใจเหรอ”

“บางวูบหนะ  ถ้าบังเอิญไปได้ยินหรือไปรู้มา  แต่พอหันหน้าไปมองอีกหลายๆชีวิตที่เขารอคอยฉัน  พร้อมจะมีชีวิตพร้อมกับฉันมันก็ชื่นใจนะ  เธอจำตลอดสองข้างทางที่เธอเดินทางมาได้ใช่มั้ย   สีเขียวเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งความภูมิใจของฉันนะ”

“คุณเป็นผู้สร้างสีเขียวของต้นไม้เหล่านั้นเหรอ”

“โอ๊ะ…อย่าหนู…อย่าเข้าใจผิด  ฉันเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้สีเขียวเหล่านั้นแข็งแกร่งและหยัดยืนได้เท่านั้น  แต่ส่วนของชั้นก็สำคัญมากอยู่เชียวหน่า”

“แต่พวกหนูต้องตื่นเช้าเพราะคุณ…”

“เมื่อกี้หนูยังชมอยู่เลยว่าชั้นสวยดีไม่ใช่เหรอ  เวลาหนูตื่นเช้าๆ ก็นึกถึงความงามของชั้นตอนนี้ไว้บ้างสิจ้ะ” เสียงนั้นหัวเราะก่อนพูดต่อ

“ฉันมีหน้าที่ของฉัน  หนูมีหน้าที่ของหนู  หนูอย่าเอาหน้าที่ของฉันมาเป็นเหตุผลที่ทำให้หนูต้องตื่นเช้าเลยนะจ้ะ” เสียงนั้นหัวเราะอีกครั้ง

“แพรวา ลูก ขึ้นมาอาบน้ำล้างตัวได้แล้วจ้ะ” เสียงแม่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

หนูหันไปพร้อมยื่นมือให้แม่ดึงตัวหนูขึ้น  หนูลุกขึ้นเดินตาม  อดไม่ได้ที่จะหันมามองพระอาทิตย์ที่กำลังเรี่ยน้ำอีกครั้ง

“แม่ขา  พระอาทิตย์สวยจังเลยนะคะแม่”

Read Full Post »

จากการสนทนากะคนคานวันก่อน  ว่า “็ีHumor me” จากที่อ่านใน a day นั้นเขายกไว้น่าสนใจ

“Humor me.” แปลว่า  “น่านะ ตามใจฉันหน่อย ” ถ้าภาษาอังกฤษก้ว่า  “to do something for someone to make them happy , even it seem stupid

– คุณไปคาราโอเกะกับเพื่อน กะจะเป็นคนฟัง (และกินดื่มเป็นหลัก) แต่เพื่อนลากคุณออกไปร้องเพลงด้วยกัน คุณเขินเซ็ง เกี่ยงไปเรื่อย จนเพื่อนรำคาญ

“Come on, humor me… One song is not gonna kill you” เหอะน่า   เพลงเดียวมันไม่ตายหรอก

– คุณภรรยาเอาเค้กโดเรม่อนปักเทียนห้าสิบกว่าเล่มมาให้คุณเป่าแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ต่อหน้าเพื่อนๆคุณ “โฮ่ย  ไม่เอาล่ะ  แก่จะตายอยู่แล้วจะมาเป่าเทียนอธิษฐานอะไรอยู่อีก” แบบว่าเขินน่ะ

ภรรยาคุณก็จะบอกว่า “Come on, humor me…เอาน่า  นิดนึง  ตามใจชั้นเหอะ อุตส่าห์เตรียมขนาดนี้แล้ว

บางทีเราก็ทำอะไรที่เราไม่ชอบ  ที่งี่เง่าสำหรับเรา  น่าอายสำหรับเรา เพื่อให้คนที่เรารักพอใจจะได้ไม่งอนหรือหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน

แบบว่า นิดนึง  ทำๆไปเหอะ  ไม่ตายหรอกน่ะ

จะว่าไปก็คล้ายๆของบ้านเราเหมือนกันนะัครับ  “เอาน่า  ขำๆ”

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ไอเดีย มุมมอง ตัวอย่าง จาก คอลัมน์ “เอ-แอน-เดอะ” โดย บิ๊กบุญ นิตยสาร a day ฉบับที่ 106

Read Full Post »

Freakonomics

 

Assume nothing.  Question everything.

อย่าตั้งสมมติฐานใดๆ แต่จงตั้งคำถามกับทุกอย่าง

นี่เป็นคำนิยมกึ่งคำนิยามที่เขียนไว้ที่ปกหลัง เป็นสองประโยคที่บอกความเป็นตัวตนของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์ Steven D. Levitt และ Stephen J. Dubner พาไปสำรวจต้นตอของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ดูไม่สมเหตุสมผล ว่าแท้ที่จริงมันมีเบื้องลึกอย่างไร และหลักวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

… 

ช่วงสี่ห้าปีหลังมานี่ผมสนใจกับเศรษฐศาสตร์ในฐานะที่มันเป็นสารปนเปื้อนอยู่ในพฤติกรรมการตัดสินใจของมนุษย์ในทุกเรื่อง (หรืออาจจะเป็นสารตั้งต้นด้วยซ้ำ) หลังจากอ่านหนังสือแนวเศรษฐศาสตร์ภาคคนไทยในชุดรวมเล่มของวรากรณ์ สามโกเศศ (โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี, เงินไหลมา) และนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ (เอาตัวรอดด้วยทฤษฎีเกม, เศรษฐศาสตร์ในกรุงเทพมหานคร) ผมก็เกิดอยากลองดูมุมมองที่แตกต่างของคนอเมริกันบ้าง หนังสือเล่มนี้วางอยู่บนชั้นหนังสือแนะนำของ Asia Books สยามพาราก้อน ผมเลยตัดสินใจเลือกมันอย่างง่ายดาย ด้วยว่ามันคงมีความเสี่ยง (ที่จะไม่สนุก) น้อยสุด

หนังสือเปิดตัวด้วยคำถามว่าอาจารย์และซูโม่เหมือนกันอย่างไร ในเรื่องนี้ผู้เขียนแสดงวิธีการใช้สถิติเพื่อพิสูจน์การโกงข้อสอบของอาจารย์มัธยมในชิคาโก้และการสมยอมกันในแมทช์ของกีฬาที่เชื่อว่าเป็นกีฬาที่มีเกียรติยิ่งอย่างซูโม่ หนังสือตีแผ่ข้อมูลรายละเอียดเป็นฉากๆ ให้เห็นความผิดปกติของข้อมูลโดยที่เราแทบไม่ต้องมีพื้นความรู้ทางสถิติเลย สุดท้ายก็ทิ้งปริศนาไว้ให้ขบคิดว่าความซื่อสัตย์ของทุกคนล้วนมีราคาที่ซื้อได้จริงหรือ

บทที่ตามมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าของข้อมูลความลับ และวิธีที่นายหน้าขายที่ดินและกลุ่มคลูคลักซ์แคลนใช้ประโยชน์จากมัน เรื่องของการควบคุมคนด้วยการกำหนดโครงสร้างผลตอบแทนในองค์กรการค้ายาเสพติด สาเหตุลึกลับที่ไม่มีใครนึกถึงที่ทำให้อัตราอาชญากรรมลดลง ฯลฯ

ในตอนหนึ่งของหนังสือมีการอ้างถึงสี่ปัจจัยที่จะเป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนของอาชีพต่างๆ ได้แก่ 1) จำนวนคนที่อยากจะทำงาน 2) ทักษะพิเศษที่จะต้องใช้ทำงาน 3) ความไม่น่าปรารถนาของงาน และ 4) ความต้องการในตลาดของงานนั้น และยกตัวอย่างว่าด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำไมโสเภณีจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำเงินได้มากกว่าสถาปนิก ข้อสรุปสุดท้ายผู้เขียนมีความเห็นว่า…

Let’s just say that an architect is more likely to hire a prostitute than vice versa.

วรรคทองที่พบในคำนำและในบทที่หนึ่ง น่ากลัวว่ามันไม่ได้เพียงแค่สรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่มันอธิบายสรรพสิ่งต่างๆ ที่หมุนเวียนอยู่รอบตัว

[Morality] represents the way that people would like the world to work — whereas economics represents how it actually does works.

เราอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยวิถีแห่งจริยธรรม แต่ในความเป็นจริงโลกเราหมุนไปด้วยวิถีแห่งเศรษฐศาสตร์

คุยเรื่องนี้กับคนเหมือง เห็นว่ามีฉบับแปลเป็นไทยแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถามรายละเอียด ในบางเรื่องอาจจะต้องมีความคุ้นเคยเรื่องราวในสังคมอเมริกันอยู่บ้าง แต่โดยรวมน่าจะเป็นหนังสือที่อ่านคล่องย่อยง่ายพอสมควร

ใครคิดว่าเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องซับซ้อน น่าเบื่อ ไปร้านหนังสือคราวหน้าน่าลองพลิกอ่านหนังสือเล่มนี้ซักสามสี่หน้า

Read Full Post »

วันนี้ไม่รู้ยังไง วลีเพลงของ “น้าหมู” บทหนึ่ง แวบเข้ามาในหัว

เธอบอกว่ารักนั้นกินไม่ได้ เธอไม่เข้าใจ ความรักไม่กินก็อิ่ม

งดงามและคมคายทีเดียว

น้าหมู หรือ “พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ” เป็นศิลปินอีกคนหนึ่ง ที่ผมได้ฟังผลงานของเขามาตั้งแต่เล็ก มีหลายๆเพลงที่ชอบและร้องได้ติดปาก บางเพลงตอนเล็กๆก็เฉยๆ พอโตมาหน่อยกลับชอบกว่าเพลงที่เคยชอบสมัยก่อน หลายๆเพลงฟังไป ภาพความหลังก็แวบมาให้คิดถึง

อารมณ์เพลงของน้าหมู เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามจำนวนอัลบั้มที่เพิ่มขึ้น ช่วงแรกๆ ออกอารมณ์เหงาๆหน่อย บางเพลงมีความเศร้าเจือปน อย่างเช่น “เด็กหญิงปราง”, “ลำตะคอง” หรือ “ลมรำเพย” พอมาหลังๆ น้าแกทำเพลงที่สนุกสนานมากขึ้น หลายๆเพลงส่งแกให้โด่งดังระเบิดจนติดทำเนียบขุนพลเพลงเพื่อชีวิตแถวหน้าโดยสมบูรณ์ เช่น “ดาวน์สาว”, “ตังเก”, “จ.รอคอย” ฯลฯ 
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือภาษาในบทเพลงนั้น ยังคงความสละสลวย แต่ก็เรียบง่ายแบบชาวบ้าน สมกับฉายาที่ อัสนีย์ พลจันทร์ ตั้งไว้ให้ว่าเป็น “กวีศรีชาวไร่

smile

ตัวอย่างภาษาสวยๆในเพลงของน้าหมู

“ภูบ่สูงแต่ว่าห้วยมันลึก
ภูบ่ลึกแต่เมืองมันไกล
ภูบ่เล็กแต่ว่าฟ้ามันใหญ่
นกเขาไฟบินร่ายเล่นลม”
[นกเขาไฟ]

“แม้ไม่มีพยานคำมั่นฤาสัญญา
อย่ารอเวลาให้ล่วงเลยร่างกายจะร่วงโรย
จงโบกโบยโผบินแม้เหน็บหนาว
ใช่ว่าเราจะจากกันนิรันดร์ไป”
[เพียงลมพัดผ่าน]

“ต้มยำอกหักผัดผักแอบรัก
โล่งคอยิ่งนักแกงจืดหน้าบูด
ผักบุ้งไฟสวาทผัดเผ็ดรักคุด
อร่อยที่ จ.รอคอยทุกวัน”
[จ.รอคอย]

“จากไปแล้วดังลมรำเพย โอ้อกเอ๋ยไม่หวนกลับหลัง
ดั่งราตรีที่ลืมรุ่งราง ดุจดาวที่หลงฟ้ากว้าง ดั่งทางที่ร้างสัญจร”

“เพียงน้ำคำกล่าวลาเข้มแข็ง ขวัญโรยอ่อนเรี่ยวแรง หลั่งรินร่ำลาคราหนึ่ง
จากก็เจ็บอยู่ก็จำเจจึง ไปเพื่อไถ่ถามถึงห่วงหากันอีกสักหน”
[ลมรำเพย]

“ฝนหลั่ง ค่อยๆแหงนคอย แต่เนิ่น
ยิ่งฟังยิ่งเพลิน ดั่งเหรียญเงิน ร่วงลงเต็มท้องนา
ข้าวรอมือเรียว เกี่ยวดอง น้องนางนั่นหนา
เจ้าเคยสัญญา จะมาหน้าฝน เฝ้าคอยเหมือนคนเป็นไข้”
[ฝนจางนางหาย]

“ฤดูกาลเปลี่ยน ร้อนวนฝนหนาว
ผีเสื้อดวงดาว หาดทราย เส้นทาง ลำธาร
ด้วยปีกแห่งรัก หักแล้วเลยฤดูกาล
เจ็บเหงา เศร้าฝัน เงียบงัน เจ้าสาวผีเสื้อ”
[เจ้าสาวผีเสื้อ]

จริงๆมีที่ชอบๆอีกเยอะเลย แต่ชักจะยาวไปละ ทิ้งท้ายไว้อีกสักเพลง เพลงนี้เพื่อนๆหลายคนก็ชอบกันนะ ภาษาสวยงามเป็นบทกวีเลย ไม่รู้จะตัดทอนมาตรงไหน ยกมาทั้งเพลงเลยละกัน

ลำตะคอง
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ

รวงข้าวรอเคียว เก็บเกี่ยวกลางนา
เหลืองงามทาบทา ทุ่งกว้างแห่งลำตะคอง
เดือนอ้าย ฟ้าใสเมฆสูงลอยล่อง
แดดทอแสงเรืองรอง อาบทุ่งทองทิวไม้ปลายนา

พริ้วลมโลมลูบจูบผิวแผ่วเนื้อ
ล่องลอยลำเรือ
ย่ำค่ำเสียงแคนบอกลา
แสงไต้ ริบริบพริบพริบพรายมา
คืนสู่เรือนเคหา ถิ่นท้องนาอาบฟ้าห่มดาว

เคียวคันเก่ากร่อนแล้วแก้วตา
โอ้นานหนักหนา น้องนางทิ้งนาหนีไกล
ลืมรวงข้าว ลำคลองเคยอาบน้ำใส
กลับขุ่นข้นเหมือนน้ำใจ
เจ้าหนีไกลลืมลำตะคอง

รวงข้าวรอเคียว เก็บเกี่ยวกลางนา
รอน้องแก้วตา เกี่ยวก้อยร้อยเคียวเกี่ยวรวง
เดือนยี่ ตัวพี่นี่แสนเป็นห่วง
เหมือนเม็ดข้าวทิ้งรวง
เจ้าลับล่วงลืมลำตะคอง

เหมือนเม็ดข้าวทิ้งรวง
เจ้าลับล่วงลืมลำตะคอง

Read Full Post »

น้องฮอนด้านี้ เอามาแนะนำเฉยๆ  ถ้าสนใจตามหาฟังเพลงอื่นดู  น่าจะถูกใจคนจรและคนข้างๆ   Omenก็น่าจะชอบ   ส่วนคนคานไม่ชอบแง่มๆ คร่อกๆ

จารย์เอกนี่ไม่แน่ใจแหะ

Read Full Post »

บ่ายสองของวันนั้น  ซึ่งก็ล่วงเลยมาพอสมควร  หลังจากที่ผมหันหลังกลับจากการเลื่อนปิดประตูรั้วหลังจากเลื่อนรถออกไปแล้ว  เสียง”ตุ้บ” ดังขึ้นถัดไปซักสิบเมตรหน้ารถ  ชายสูงวัยที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีในฐานะเพื่อนบ้านนอนคว่ำหน้าอยู่หน้าบ้านของเขา  เสียงหญิงทำงานบ้านฝั่งตรงข้ามบ้านผมส่งเสียงโหวกเหวก  ใครเป็นอะไร  แต่ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนกาย  ผมรี่เข้าไปดูคุณอาที่นอนคว่ำอยู่พร้อมๆกับเพื่อนบ้านอีกสามสี่คนที่วิ่งมาแต่กลางซอยด้วยความหวังดี

“เจ็บหัว  เจ็บหัว” เสียงคุณอาพร่ำเมื่อผมประคองศีรษะคุณอาขึ้น  ทุกคนมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว

ผมถือวิสาสะเอามือลูบหัวคุณอาเผื่อจะพบบาดแผล  แต่ก็ใจชื้นเมื่อไม่พบอะไรผิดปรกติ

พี่ผู้หญิงคว้ากุญแจบ้านที่หล่นอยู่ไขประตูบ้านของแก  ก่อนที่คนที่เหลือจะพยุงถูลู่ถูกังแกเข้าไปในบ้าน

“นั่งตรงนั้น  ตรงนั้น” แกมีสติพอให้เราพาแกไปนั่งที่ม้าหินภายในบ้าน

“เข้าไปอยู่ในบ้านดีไหมค่ะ” พี่ผู้หญิงที่ถือกุญแจกล่าวกับแก

“ไม่เป็นไร  อยู่ตรงนี้  อยู่ตรงนี้  ขอบคุณมากนะ  ขอบคุณ” แกกล่าว  สายตาคุณอาเป็นเช่นนั้นจริงๆ  ผมอยู่ตรงหน้าแกที่ม้าหิน  ก่อนจะเดินถอยออกมาขึ้นรถไปทำธุระตามปรกติ

เย็นนั้น  เมื่อผมถึงบ้านได้เจอกับลูกสาวคนโตของแกที่อยู่ที่นี่  ก็ได้ความว่าแกล้มอีกครั้งตรงที่ม้าหินนั่นแหละ  แต่คราวนี้เลือดไหลเต็มไปหมด  และกำลังรอรถพยาบาลอยู่

“พ่อแกไม่อยากอยู่แล้ว  พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง  แกออกไปกินเบียร์คนเดียวทุกวัน  แล้วก็เมาเข้ามา” ลูกสาวคนโตที่ผมเรียกว่าพี่  พูดกับผมกรายๆหลังจากขอบคุณทีรู้ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปช่วยเหลือคุณอา

เหตุการณ์ผ่านไปสองสามวัน  ญาติๆเข้ามาเยี่ยมที่บ้านหลังแกออกจากโรงพยาบาล  เป็นช่วงเวลาที่บ้านแกมีรถพลุกพล่านที่สุดเท่าที่ผมจำได้

อีกสองสามวันหลังจากเสร็จงาน  ผมออกมายืนส่งเพื่อนร่วมงานหน้าบ้าน  รถพยาบาลจอดรออยู่ที่หน้าบ้านแกพักใหญ่   และขยับขยายให้รถเพื่อนผมออกอย่างไม่รีบร้อน

อีกสองสามวันเช่นกัน  ขณะจะถึงบ้านผมเห็นพี่บ้านนั้นพร้อมด้วยสามีใส่ชุดดำและกำลังปิดบ้าน  จึงได้ถามได้ไถ่  ใจความว่าคุณอาจากไปแล้วอย่างสงบ  จากไปวันที่ผมมายืนส่งเพื่อนนั่นแหละ

การจากไปของคุณอาทำให้ผมได้รับรู้เรื่องของคุณอามากขึ้น  เมื่อก่อนครอบครัวคุณอาอยู่ในเมือง  แต่ด้วยภรรยาของคุณอาป่วยและอ่อนแอ  แกเลยย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นชานเมืองในสมัยนั้น  เพื่อให้ภรรยาแกได้อากาศดีๆ  แต่ก็โชคร้ายที่ภรรยาของแกก็จากไปในเวลาไม่นานนัก

แกเลี้ยงลูกสาวสองคนลำพัง  หิ้วกระเป๋านักเรียนกระเตงพาไปส่งโรงเรียนในเมืองประจำจนเป็นภาพเจนตาของผู้คน  นอกเหนือจากงานประจำแกใช้ชีวิตไปกับการซ่อมบ้าน  ดูแลบ้านและลูกสาวทั้งสองคน ยาวนานจนเป็นฝั่งเป็นฝา

เมื่อถึงวัยเกษียณ  แกก็ใช้ชีวิตลำพังกับลูกสาวคนโตที่บ้านหลังนี้  ลูกสาวอีกคนได้ย้ายออกไปสร้างครอบครัวแต่ก็ได้แวะเวียนมาเป็นระยะๆ

มันเหมือนกับแกเดินมาสุดปลายทางความตั้งใจของแกแล้ว  ส่งลูกถึงฝั่ง  มีคนดูแล  ซ่อมแซมบ้านไว้ให้ลูกอยู่  แล้วแกก็ไม่รู้ว่าแกจะอยู่ต่อไปทำไม  แกพอแล้ว   ยิ่งอยู่ต่อไปก็ยิ่งเหงา   ยิ่งไร้ความหมาย….นั่นเป็นสายตาที่ผมเห็นในวันนั้นแต่ไม่กล้าบอกกับใคร  สายตาที่หมดอาลัยแล้วผ่านมากับคำขอบอกขอบใจ

เรื่องราวนี้ได้ผ่านไปพอสมควรแล้ว  ทิ้งคำถามให้ผมคิดว่าในซอยนี้  มีผู้ใหญ่ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่แต่กับบ้านก็ไม่น้อย  จะไปไหนก็ได้แต่ในละแวก  ทำไมหนอเขาไม่เป็นเพื่อนกัน  ไม่สร้างกลุ่มก๊วนในละแวกให้แต่ละวันมีสีสันมากขึ้น  เรากลัวแต่คนอื่นจะนำปัญหามาให้เรา  แล้วการอยู่แต่กับตัวเองมันจะไม่มีปัญหาหรือ  ผมเองคงไม่ค่อยเข้าใจ  แต่จริงๆแล้วตัวเองก็ไม่ได้คบใครในพื้นที่เหมือนกัน  ทำไมล่ะ…  ทำไม…

Read Full Post »

มีประเด็นสนทนาเล็กน้อย (อยากให้คิดแบบไม่ซีเรียสนะ)

สำหรับระบอบประชาธิปไตย สิทธิหลายๆอย่างเป็นสิทธิพื้นฐาน เช่น การมีที่อยู่อาศัย การเดินทางสัญจร การรับประทานอาหาร ฯลฯ

ทุกคนมีสิทธิมีที่อยู่อาศัย ที่ไหนก็ได้ ถ้าเขาสามารถครอบครองที่นั้นๆ (ซื้อ เช่า หรือ มีคนให้มา) แต่ถ้า ไม่สามารถครอบครองได้ ก็ไม่ได้อยู่ (หรือไม่มีที่อยู่ เช่น คนจรจัด)

ทุกคนมีสิทธิขับรถได้ แต่ต้องมีใบขับขี่ (เพื่อที่พอจะมั่นใจได้ว่า จะขับรถเป็น และจะไม่ทำผิดกฏจราจร หรือ ไปสร้างความเดือดร้อนในท้องถนน)

ทุกคนมีสิทธิทานอะไรก็ได้ ถ้าเขามีตังค์ซื้อ (หรือ ผลิตขึ้นเอง หรือ มีคนให้)

ดังนั้น สิทธิการเลือกตั้ง ทุกคนมีสิทธิ แต่ควรต้องแสดงความสามารถอะไรบางอย่าง (คล้ายๆสอบใบขับขี่) ก่อนไหม เช่น ความรู้ความเข้าใจในการใช้สิทธิ, ประชาธิปไตย หรือ ความรู้ความเข้าใจสภาพการบ้านการเมือง etc.  จึงจะมีสิทธิกาบัตรเลือกตั้ง ?

 

Read Full Post »

ใครที่หวังไว้จากตัวอย่างหนัง ว่าจะได้้เห็นความสดใสของสองสาวเต็มไปหมดทั้งเรื่องนั้น  อาจจะผิดหวังอยู่  สุดท้ายก็ยังมีความเป็นดราม่าอยู่ไม่น้อยทีเดียว  ไอ้ความสดใสน่ารักนั้นก็มีแต่น้อยกว่าปริมาณที่หลายคนคาดหวังแน่ๆ  ไอเดียที่ใส่ในหนังก็เข้าท่าทีเดียวนะ  ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลก เราก็หนีกฎของโลกนี้ไม่ได้  มีแต่ต้องยอมรับไม่ใช่จะวิ่งหนี  นี่คงจะเป็นความเกี่ยวเนื่องที่อ้างอิงถึงกาลิเลโอ  นอกเหนือจากสถานที่แล้ว

แต่เสียดายอยู่หน่อยตรงที่การเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดหรือสารที่ต้องการส่งนั้น  บางทีดูไม่ค่อยเชื่อมโยงกัน  การส่งสารหลายครั้งไม่ค่อยชัด เหมือนเกือบๆจะถึงมือ เอ๊ะหรือไม่ได้ส่งเนาะ (จะรู้เรื่องกันมั้ยนี่) …อือ…แล้วมันก็มีความหนืดๆของหนังบางช่วง  การกระโดดข้ามเหตุผลบางเรื่องไปมา  รู้สึกว่ามีพื้นที่ว่างโล่งๆแทรกระหว่างสาร  หรือบางทีก็เป็นสารอีกเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกันมาวางคั่น   ทำให้น้ำหนักเนื้อหาเบาๆไปหน่ิอย

awThemeEarth 01

แต่ก็น่าแปลกที่ในความที่ดูหลวมๆที่ผมว่า  หนังมันก็ยังคงดึงความรู้สึกคนดูได้ในสไตล์ของ จีทีเอช  ที่มักจะทิ้งอะไรอุ่นๆข้างในไว้ให้เราเมื่อเดินออกจากโรงเสมอ  เรื่องนี้ก็เหมือนกัน

พอไฟเปิดคนลุกเดิน เห็นคนเอามือเช็ดตากันเป็นแถว  ผมเองก็นิดนึง  หนังไม่ได้ฟูมฟายอะไรหรอกนะครับบอกไว้ก่อน  ไม่ได้เศร้าโศกด้วย  แทบจะไม่มีไคลแมกซ์ด้วยซ้ำ  มันมาเรื่อยๆ พอกระฉอกเป็นระยะๆ  ยิ้มน้อยๆน้ำตาคลออะไรเทือกนั้น  ออกไปในทางบวกครับ

ThemeRoofตอนที่นั่งดูอยู่ก็แอบนึกว่า  คนทำหนังช่างเลือกประเด็น  เด็กวัยจบมหาลัย  กับการผจญภัยในโลกกว้าง  อิสรภาพแห่งความคิดและทางเลือก  การพิสูจน์ความเชื่อของตน  ทั้งหมดนี้มักจะเป็นเรื่องของคนวัยนึงเท่านั้น   แล้วเหล่านี้ก็จะร่วงโรยไปกลายเป็นเรื่องเล่าสนุกๆในวันข้างหน้า

นึกอยู่ว่า หนังเรื่องนี้จะมีผลต่อความคิดเด็กๆน้องๆรุ่นๆถัดไปหรือเปล่า  เหมือนหนังตอกย้ำความคิดบางอย่าง  “ไม่รู้เว้ย  กูตัดสินใจแล้ว  อะไรอยู่ข้างหน้าค่อยว่ากันเถอะ  กูจะเอาอย่างนี้แหละ พร้อมไม่พร้อมกูไม่สน  ขอกูได้ลองเถอะ”  เอาเป็นว่าเขาเลือกได้เข้ากับยุคสมัยดีทีเดียว

มีสาระอื่นๆสอดแทรกเป็นระยะ  คำพูดเท่ๆ สไตล์ เรย์ แมคโดนัลด์ ก็เข้าท่าอยู่

อย่างที่บอกน้ำหนักพล็อตอาจจะดูเบาๆซักหน่อย   แต่ก็ได้ความรู้สึกนะ…

Read Full Post »

การออกไปสำรวจเส้นทางแต่ละครั้งมักจะได้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่คาดคิดเสมอ เรื่องที่ติดค้างไว้วันก่อนเป็นเรื่องของคนคนหนึ่งที่ผมมีโอกาสเข้าไปรับรู้ระหว่างการสำรวจเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ในตัวเมืองนครราชสีมา

พื้นที่แถบโคราชเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลังกันมาก หลังจากย้ายถิ่นฐานมาอยู่โคราชเป็นเวลานาน คุณทศพล ตันติวงษ์ เริ่มเล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลัง ก็เลยไปกู้เงินมาลงทุนทำโรงงานแปรรูปมันสำปะหลังไปพร้อมๆ กับอาศัยพื้นความรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกลเล็กๆ น้อยๆ และเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทำแป้งมันโดยเริ่มจากศูนย์ โรงงานสงวนวงษ์จึงถือกำเนิดขึ้นบนพื้นที่ 50 ไร่จากน้ำพักน้ำแรง จากสองมือเปล่าและความเชื่อมั่นในตัวเองล้วนๆ ว่าจะต้องทำได้
เรื่องทำนองนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับผม เราคงได้ยินเรื่องราวการต่อสู้ของคนที่ประสบความสำเร็จไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่มันเป็นวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจและสังคมของชายคนนี้ที่น่าสนใจมากๆ

โคราชเป็นตลาดใหญ่ของมันสำปะหลัง โรงงานมันสำปะหลังในโคราชปัจจุบันมีอยู่ 20 กว่าโรง โรงงานสงวนวงษ์เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด มีเกษตรกรนำมันสำปะหลังมาขายวันละ 3,000 – 4,000 ตัน ซึ่งนำไปผลิตเป็นแป้งมันได้วันละ 1,000 ตัน เดิมทีโรงงานผลิตได้ไม่มากเท่านี้ และต้องจ่ายค่าขนส่งให้เกษตรกรจากพื้นที่ไกลๆ ในราคาที่สูงกว่าโรงงานรอบนอกเพื่อจูงใจให้เกษตรกรยอมขนมันเข้ามาขายถึงในโคราช

เกษตรกรในพื้นที่มีปัญหาเรื่องที่ทำกินเหมือนๆ กับทุกๆ ที่ในเมืองไทย เมื่อมีพื้นที่อยู่จำกัด ผลิตผลและรายได้ก็เลยถูกจำกัดไปตามนั้น ในความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของจุดเริ่มต้นของซัพพลายเชน คุณทศพลกลับมองอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเพิ่มผลผลิตจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก คุณทศพลหันไปปรึกษากับนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ซึ่งคุณทศพลเป็นหนึ่งในกรรมการสภามหาวิทยาลัย) เพื่อทดลองทำปุ๋ยชีวภาพ นำเอาหินฝุ่นที่เป็นวัสดุในพื้นที่อำเภอปากช่องมาปรับสภาพดิน ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่จากเดิม 3 ตันต่อไร่ เป็น 27 ตันต่อไร่ นอกจากนั้นมันสำปะหลังที่นำเข้าจากบราซิลที่เคยมีปัญหาอ่อนแอขี้โรคกลับมีภูมิต้านทานเพลี้ยแป้งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เทคโนโลยีเหล่านี้คุณทศพลจัดอบรมให้เกษตรกรฟรีๆ โดยไม่มีข้อแม้ว่าจะต้องเอามันมาขายให้ คุณทศพลบอกว่า ก็เทคโนโลยีนี้ได้มาโดยไม่เสียอะไร เป็นโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยที่บังเอิญว่าเขาไม่มีที่ดิน เราเองมีที่ดินแต่ไม่มีเทคโนโลยี ก็เลยเป็นเรื่อง วิน-วิน ของทั้งสองฝ่าย
ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าซื้อใจกันขนาดนี้แล้ว เกษตรกรจะเอามันไปขายที่โรงงานไหน

โรงงานกับน้ำเสียเป็นของคู่กัน โดยทฤษฎีแล้วโรงงานก็ต้องมีบ่อทำการบำบัดน้ำเสียก่อนจะปล่อยทิ้งลงสู่ลำน้ำธรรมชาติ แต่ที่นี่เล็งเห็นโอกาสที่จะแปลงน้ำเสียให้เป็นไปได้มากกว่าน้ำดี เขาเลยขอสัมปทานตั้งบริษัท Korat Wast to Energy (KWTE) ขึ้นมา ใช้พลังงานจากปฏิกิริยาของสารจุลินทรีย์ผลิตกระแสไฟฟ้านำกลับมาใช้ภายในโรงงานแทนพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมัน ประหยัดไปปีนึงไม่ใช่น้อยๆ
คนงานในโรงงานอยู่ด้วยกันในนิคมบ้านพักภายในเขตโรงงาน มีการตั้งโรงเรียนให้ลูกหลานคนงานเรียนหนังสือ มีสนามกีฬาและพื้นที่สันทนาการ ในภาพรวมโรงงานสงวนวงษ์ดูเหมือนนิคมอุตสาหกรรมขนาดย่อมๆ

สงวนวงษ์

ธุรกิจแป้งมันทุกวันนี้ไม่ได้มุ่งผลิตขึ้นมาเพื่อการบริโภค ปัจจุบัน 85 – 90 % เป็นธุรกิจเพื่อการส่งออกและใช้ในอุตสาหกรรมแป้งมันนอกจากที่เรารู้จักว่ามีไว้ทำอาหารแล้ว ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ ไม้อัด สิ่งทอ ยาเม็ด ผงชูรส เอธานอล และอื่นๆ อีกมากมาย

กากมันที่นำมาทำเอธานอล แปรรูปเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า และผลิตไบโอแก๊ส NGV ยังมีราคาตกต่ำและยังไม่คุ้มต้นทุน แต่วันหนึ่งเมื่อราคาพลังงานถีบตัวสูงขึ้นอย่างถาวร ผู้ชนะในเวทีพลังงานทางเลือกก็คือผู้ที่เตรียมทุกอย่างพร้อมตั้งแต่วันนี้

ปัจจุบันมีผู้ปลูกแป้งมันที่เติบโตขึ้นมาแข่งขันจากทั้งกัมพูชา ลาว และพม่า และส่งเข้ามาขายในเมืองไทยเพื่อแปรรูป แต่สักวันกลุ่มประเทศเหล่านี้จะเริ่มผลิตแป้งมันได้เองในราคาที่ถูกกว่า ด้วยเหตุนี้ธุรกิจโรงงานแป้งมันจึงไม่สามารถอยู่นิ่งได้ แทนที่จะแข่งขันกันด้านราคา คุณทศพลเตรียมแผนรองรับไว้โดยการผลิตสินค้าอื่นๆ จากแป้งมัน โดยการร่วมทุนกับต่างประเทศ ขอความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีและช่วยให้เปิดตลาดให้


เรื่องของนักธุรกิจอาจจะไม่ใช่เรื่องที่มีไอดินกลิ่นโคลนมากนัก แต่ผมว่าแต่ละคนก็สามารถมีบทบาทที่แตกต่างในการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้กัน

Read Full Post »

พื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัวผม มาจากเกษตรกรโดยแท้ ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ตอนเล็กๆยังจำได้ว่า เคยนั่งรถตามทางเกวียนเพื่อจะเข้าไปที่หมู่บ้าน (ชื่อว่าบ้านดอนดู่ ลูกทุ่งดีมะ) ผ่านทุ่งนาของปู่ย่า ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีบึงขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยต้นบัว และปอกระเจาที่ส่งกลิ่นคละคลุ้ง แต่ตอนเย็นๆก็มาอาบน้ำที่บึงนี้แหละ มีเจ้าทุยเป็นเพื่อนอาบด้วยนะ ส่วนที่บ้านตายาย ก็เป็นฟาร์มปศุสัตว์ย่อยๆ มีเกือบครบวงจรเลย ทั้งเลี้ยง หมู ไก่ ห่าน หลังบ้านก็เป็นสวน มีทั้งผักผลไม้หลากหลายชนิด แถมยังมีนาข้าวด้วย แต่อยู่ห่างจากบ้านไปอีกพอสมควร เรียกได้ว่าทั้งที่บ้านของปู่ย่าและตายายนั้น เรื่องอาหารการกินแทบไม่ต้องซื้อหาจากที่ไหนเลย เก็บกินจากผลผลิตแถวบ้านได้ทั้งนั้น

นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องข้าวปลาอาหารแล้ว พวกเครื่องเล่นบันเทิงใจต่างๆ ผมก็หาวัสดุแถวนั้นแหละทำเอาเอง เช่น ม้ากับปืนก้านกล้วย ดาบซามูไรที่เหลาเองจากทางมะพร้าว หรือ เจ้าว่าวปักเป้าหางยาวที่ทำจากไม้ไผ่และกระดาษหนังสือพิมพ์ ชาวบ้านในชนบทของไทยแต่โบราณมาก็เป็นแบบนี้ มีอยู่มีกินไม่อดอยาก แม้จะดูยากจนตามไม้บรรทัดของสังคมโลกสมัยใหม่ก็ตาม

แต่ก็อย่างที่เห็นๆ ผมเองก็ไม่ได้เป็นลูกทุ่งอะไร เพราะพ่อแม่หลังจากเรียนจบแล้ว ก็ไม่ได้หวนกลับไปใช้ชีวิตแบบปู่ย่าตายาย แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เป็นคนเมืองที่ทุกวันนี้ จะกินอะไรซักอย่าง แม้แต่น้ำเปล่าก็ต้องใช้เงินซื้อหามาทั้งนั้น เงินจึงเป็นสิ่งที่มีค่าเสียเหลือเกิน เพราะมันถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เป็นปัจจัย 4 และสิ่งบันเทิงเริงรมณ์ชีวิต
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า มีหลายๆอย่างที่อุบัติขึ้นและกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชิวิต เช่น ทีวี วิทยุ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือ อินเตอร์เน็ต

ชาวบ้านชนบท ที่เคยกินอยู่อย่างเพียงพอ ก็กลายเป็นขาดแคลน เพราะความต้องการความเจริญสมัยใหม่ ซึ่งล้วนต้องแลกด้วยเงินมากมายทั้งนั้น มีที่ดินก็ต้องเอาไปขาย บึงหนองที่เคยมี ก็ถมเอาไปสร้างอาคาร พืชผลในท้องไร่ท้องนา เดิมใช้ปุ๋ยตามธรรมชาติ เพื่อต้องการให้ได้ผลผลิตมากขึ้น (จะได้ขายได้มากขึ้น) ก็เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยเคมี ต้องฉีดยาฆ่าหญ้ามั่ง ฆ่าแมลงมั่ง ฮอร์โมนเร่งโตมั่ง จนทุกวันนี้ดินเสียไปหมด สรุปคือ คนที่เคยไม่จน ก็เลยกลายเป็นคนจน และอาจต้องจนลงไปเรื่อยๆ

ตอนเด็กๆผมเบื่อการทำเกษตรมากเลยนะ แต่มาช่วงหลังๆนี้ชักเริ่มสนใจมันขึ้นมา โดยเฉพาะแนวเกษตรผสมผสาน และการทำพลังงานทดแทนจากพวกวัตถุชีวภาพทั้งหลาย เพิ่งดูข่าวอันหนึ่งไป เกี่ยวกับชนบทแถวโคลัมเบีย บริษัทเยอรมันเจ้าหนึ่งเขาไปสัมปทานทำระบบก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ของเกษตรกร ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นได้เชื้อเพลิงมาใช้หุงต้ม และทำแสงสว่างตอนกลางคืน แถมยังได้ปุ๋ยจากกากที่เหลือจากการผลิตก๊าซนั้นไปใช้ในไร่นาอีก ซึ่งได้ผลผลิตที่ดีและบำรุงดินไปในตัวด้วย

ที่บ้านเราช่วงนี้ก็มีโฆษณาอันนึง ของมูลนิธิยุวพัฒน์ (คงเคยเห็นกันบ้างแล้วนะ) เกี่ยวกับเรื่องแนวนี้พอดี ชอบความคิดและสไตล์การพูดของลุงผายเขาจริงๆ จึงเอามาฝากกันเสียหน่อย

ถ้าสนใจเพิ่มเติม เกี่ยวกับลุงผาย ลองดูตาม link นี้นะ

http://gotoknow.org/blog/lfl/269246

http://naturalagri.multiply.com/journal/item/21

http://www.mapculture.org/mambo/index.php?option=com_content&task=view&id=996&Itemid=58

แนวคิดของผมตรงกับเขาเที่ว่า ความเจริญของคน ของประเทศ มันต้องเริ่มจากคนต้องมีอยู่มีกินตามสมควรก่อน (จำ 3 เหลี่ยมความพอเพียงที่ผมเคยเสนอได้ไหม https://symposium74.wordpress.com/2008/08/29/triangle-of-sufficiency/ แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้คงต้องขยายขอบเขตให้มากกว่าเฉพาะการเมืองที่เคยว่าไว้ไปอีก)

ว่าแล้วกลับไปบ้านรอบหน้า จะไปทำแปลงปลูกอะไรเล็กๆน้อยๆแถวหลังบ้านซะหน่อยท่าจะดี

Read Full Post »

ฟังเพลินๆ อารมณ์ดี  ไม่เขียนยาวนะ ไม่แน่ใจ มีแวะมาเยี่ยมกันหรือเปล่า  หรือมีพื้นที่ส่วนตัวกันหมดแล้ว  ไม่เป็นไร เอาตามสะดวกครับ

Read Full Post »

แหม….ส่วนตัวเนอะ  เนื่องจากเข้าไปดูยูทูป “อุ้มรัก” ก่อนนี้ก็เคยดูอยู่บ้างตอนออนแอร์  ก็ชื่นชอบอยู่  พอได้เข้าไปดูเต็มๆ  อือ…. น่าสนใจมากอยู่   เรื่องชั้นเชิงการแสดงนี่รู้แก่ใจมานานแล้วถึงฝีมือน้องเขา  เอาว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่ระดับไร้ตัวตน…ว่างั้นก็ไม่น่าจะผิด   ด้วยเสน่ห์ของน้องเขา  และความอยากรู้อยากเห็น  เลยเข้าไปเสาะดูสัมภาษณ์ของน้องเขา  โอ้…ดีจังเลย  เพื่อนฝูงคงไม่รังเกียจนะ  ถ้าจะขอเชียร์ดาราซักคน

ข่าว_เนื้อหาข่าว_แอน_ทองประสมจริงๆแล้วเราไม่เคยมองน้องเป็นคนสวย  แต่รู้สึกว่าน้องเขามีแคแรกเตอร์  แต่พอมองเรื่องฝีมืองานแสดงน้องเขา  ก็ไม่มีอะไรจะวิจารณ์  น้องเขาเหนือจริงๆ

เอาสัมภาษณ์ดีๆของน้องเขามาให้อ่าน  แกะมาจาก คลิป “DARAหน้าหนึ่ง” บางตอน (จะได้ไม่ยูทูปมากนัก)

เมื่อถูกถามถึงตำแหน่ง “เจ้าหญิงตัวจริง” ที่ถูกตั้งให้โดย สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิง ปี 2550

“เป็นเกียรติมากค่ะ  แต่ว่า…คือแอนว่าเป็นเรื่องที่แซวเล่น  พูดเล่นให้เกิดสีสันในวงการมากกว่า  ถามว่า…แอนเป็นเจ้าหญิงได้มั้ยเนี่ย….แอนมองว่า  อยู่ที่มุมมองแต่ละคน  มองแอนสวยงามขนาดนั้นหรือเปล่า  แต่ถ้าถามตัวแอนเอง  ไอ้เราก้อรักและศรัทธาตัวเองอยู่แล้ว  เราเชื่อว่าเราทำสิ่งที่ดีมาตลอด  แต่ถ้าตำหนงตำแหน่งเจ้าหญิงนี่คงไม่กล้ารับ  แต่ถ้าถามว่า  ถ้าคนมาชมแล้วบอกว่า  คนคนนี้เป็นคนดีจังเลย  หยั่งเงี้ยแอนจะภูมิใจกับคำนั้นมาก  และแอนรู้สึกว่า  มันเป็นไปได้ที่สามัญชนธรรมดาอย่างเรา  จะแตะคำนั้นได้ถึง  อะไรอย่างเงี้ย  ใช่มั้ยค่ะ  แต่ว่าคำว่าเจ้าหญิง  มันอาจจะแบบ….ฟังไว้ให้ชื่นใจอย่างนั้นมากกว่า  แต่แตะต้องไม่ได้ค่ะ”

และเมื่อถูกถามถึงการถ่ายภาพหวิว

“มันเป็นจุดยืนของแอนตั้งแต่แรกแล้ว  อบ่างที่แอนบอกว่า  อยากให้คนเห็นแอนแล้วจะนึกถึงงานที่ดี  แค่นั้นเอง  มันเหมือนเป็นโลโก้ที่ติดกันมา  เพราะฉะนั้นแอนไม่ได้สนใจที่จะสร้างภาพตัวเองในแบบอื่นเพื่อให้คนมามองแอนมากกว่าเดิม  คือ…ต่อให้ ณ ตอนนี้มันจะมีกระแสแบบนั้นเกิดขึ้น  แอนคงสู้ไม่ไหว  แอนก็อาจจะต้อง  ถอย…ถอย…ถอยหลังมา  หลบๆอยู่ข้างฯ  เพื่อให้เขาลุยกันไป  แต่เรา…มันไม่ใช่ทางเรา  เราก็ต้องหลีกทางแค่นั้นเอง  คือแล้วแต่ว่า  คนชอบแบบนี้ก็ดูกัน  แต่เราไม่มีโชว์  เราไม่มีให้  แต่ถ้าจะมี จะอยากเห็นเรา  ก็ต้องเห็นเราในเรื่องของอีกแบบนึง  แล้วก็จะชัดเจนตรงนั้นไป”

(ศัพท์สร้อยก็แกะมาด้วย  อย่าว่ากัน  เผื่อจะเห็นภาพมากขึ้น)

๑๗ ปีที่อยู่ในวงการมา  น่าชื่นชมทีเดียวจากข้อมูลของน้องเขาอีกหลายๆอย่าง  นี่ก็เขียนเพลงให้น้องเขาอยู่  ก็ครึ่งเพลงแล้ว  ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่

คนตั้งใจทำงาน  มีความสามารถ  มีความคิดเป็นตัวของตัวเองดี  ก็อยากเชียร์เนาะ  เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าเจ้ากะลังอินกะน้องเขาอยู่แล้วกันเกาะ

Read Full Post »

จารย์เอกเคยเล่าเคยแนะนำถึงเพลงนี้ให้ฟังเมื่อนานเอาทีอยู่  สนใจตั้งแต่ตอนนั้น  แต่หาซื้อไม่ได้  ไม่เจอ  จนล่วงลืมไปพักใหญ่แล้ว  วันนี้ปะเหมาะไปพบเจอ  โฮ้…เจ๋งจริงๆ  สะใจ ไม่เสียราคาที่จารย์ชื่นชมแม้แต่น้อย  เขียนเนื้อได้เก๋าโคตรๆ  เลยเห็นทีต้องเอามาแปะเผื่อเพื่อนคนอื่นๆจะได้เพลิดเพลินด้วย  น่าเอามาร้องมาเล่นวงเหล้าเหลือเกิน  ถ้าเป็นเพลงในยุคในช่วงวัยรุ่นคงไม่รอดไปได้  (ช่วงนี้ยูทูปเยอะหน่อยนะ)

ที่เดียว…ไอ้น้อง   คืนนี้พี่จองโต๊ะกลมด้านใน   ขอมุมสลัวๆ  รู้ตัวว่าต้องร้องไห้  ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา

อยากเมาให้พับ    รถไม่ได้ขับจับแท๊กซี่มา       หัวใจพี่โดนหักหลัง   อกพังเสียไม่เป็นท่า  พี่เลยจะมาเมาให้กระจาย

คืนนี้พี่เป็นราชา….ราชันย์อกหัก   แห่งอาณาจักรชื่อรักสลาย

ไม่มีมเหสี   ไม่มีหญิงใด   มีแต่เพื่อนใจชื่อว่าสุรา……

รีบชง….ไอ้น้อง   คืนนี้ไม่กองไม่มีเลิกรา   คบคนมันมีแต่ท้อ  คบแอลกอฮอล์มันกว่า  คำสั่งราชายกมาอีกแบน

“ต้มยำกุ้งยิ้มเยาะหัวเราะเย้ย   เนื้อแดดเดียวเอื้อนเอ่ยสมน้ำหน้า

ปลาแป๊ะซะถากถางด้วยหางตา   อัศวินสิ้นน้ำยาหมดท่าแมน

อยากตะโกนดังๆกลางร้านเหล้า   ว่าโคตรโศกโคตรเศร้าร้าวเหลือแสน

เฮ้ย..ไอ้น้อง  หนุ่มบาวขอเหล้าแบน    ดื่มให้โลกที่ขาดแคลนคนจริงใจ”

Read Full Post »

ไม่มีอะไรจะเขียนมาก พอดีพี่ต่อเขาเอาเพลงเก่ามาให้ฟัง เราก็หาเพลงที่เคยชอบๆอยู่ เลยเอามาฝากมั่งน่ะ
ฟังๆแล้ว เพลงสมัยก่อน เนื้อหาเขาเรียบง่าย ตรงๆแต่ก็ซึ้งดีนะ

The Three Degrees – Woman in Love

Feelings – Morris Albert

Lady – Kenny Rogers

Loving you – Minnie riperton

Love On A Two Way Street – Lezli Valentine

Read Full Post »

Older Posts »