Feeds:
Posts
Comments

Posts Tagged ‘ตำนาน’

กล่างถึงวีรบุรุษต่างชาติแล้ว ก็กล่าวถึงวีรบุรุษชาวไทยบ้าง สำหรับผมแล้วนี่คือวีรบุรุษที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นวีรบุรุษที่ทำลายผู้อื่น แต่เป็นผู้ซื่อสัตย์ มั่นคง เสียสละตนเองเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองโดยธรรม มิให้มีการเลือกปฏิบัติ (เดี๋ยวนี้เขาเรียก Double Standard) เขาคือ “พันท้ายนรสิงห์” ผู้ซึ่งตำนานของเขาสร้างรอยแผลอันประทับใจให้แก่ผมตั้งแต่วัยเยาว์

ตามพงศาวดาร [จาก Wikipedia] เมื่อปี พ.ศ. 2247 สมเด็จพระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกชัย จะไปประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำ เมืองสาครบุรี เมื่อเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขามซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยวและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ ซึ่งถือท้ายเรือ พระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบกับกิ่งไม้หักตกลงไปในน้ำ พันท้ายนรสิงห์จึงได้กระโดดขึ้นฝั่งแล้ว กราบทูลให้ทรงลงพระอาญา ตามพระกำหนดถึงสามครั้งด้วยกัน เนื่องจากในสองครั้งแรก สมเด็จพระเจ้าเสือทรง พระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ สุดวิสัย แต่ท้ายสุดก็มิอาจปฏิเสธเหตุผลและการร้องขอจากพันท้ายนรสิงห์ได้ พระองค์จึงจำใจตรัสสั่งให้ ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ตามคำขอ แล้วสร้างศาลไม้ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นศาลไม้ในสมัยปัจจุบัน หลังคามุงกระเบื้องดินเผาหางมน พื้นศาลเป็นไม้ยกชั้น 2 ชั้น มีเสารองรับ 6 เสา ฝาไม้ลูกประกนขนาดเล็ก

จริงๆแล้วตั้งใจจะเล่าเกี่ยวกับเพลงประกอบละครเวทีเรื่องพันท้ายนรสิงห์ คือเพลง “น้ำตาแสงไต้” ซึ่งประพันธ์โดย สง่า อารัมภีร์ ซึ่งนับเป็นเพลงอมตะเพลงหนึ่ง ที่ไพเราะงดงาม ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าอย่างลึกซึ้ง ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นคือประวัติของเพลงนี้ ที่ออกแนววิญญาณปฏิหารย์เสียด้วย

ประวัติเพลงน้ำตาแสงไต้ [จาก http://muzik4event.multiply.com/journal/item/21]

“น้ำตาแสงไต้ – แรงบันดาลใจในรัตติกาล”

สง่า อารัมภีร

ครูสง่า อารัมภีร หรือ “แจ๋ววรจักร” นักเขียนและศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย ท่านเล่าเกี่ยวกับที่มาของเพลง “น้ำตาแสงใต้” ไว้ดังนี้

“ผมจำได้แม่นยำว่า “วันนั้น” ในราวเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2487 ศิวารมณ์กำลังซ้อมละครเรื่องพันท้ายนรสิงห์อยู่ที่ห้องครูเล็กศาลาเฉลิมกรุง ดูเหมือนจะเข้าโปรแกรมวันที่ 10 พฤศจิกายน เราซ้อมกันอย่างหนักเพราะเป็นสมัยที่เริ่มงานกันใหม่ๆ กำลังฟิต

สุรสิทธิ์ จก สมพงษ์ และทุกๆ คนมาซ้อมตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน

เนรมิต มารุต สมัยโน้น เข้าคู่กันคร่ำเครียดกับบท และวางคาแร็กเตอร์ตัวละครเป็นการใหญ่ นาฏศิลป์ก็ซ้อมกันไป นักร้องก็ร้องกันไป เสียงแซดไปทั่วห้องเล็กเฉลิมกรุงตั้งแต่ 9 น. ถึง 15.30 น. ทุกวัน

ตอนนั้นผมมีหน้าที่แต่เพียงดีดเปียโนสำหรับนาฎศิลป์เขาซ้อมและต่อเพลงนักร้องเท่านั้น ผู้แต่งเพลงศิวารมณ์คือ ประกิจ วาทยกร และ โพธิ์ ชูประดิษฐ์ ผมเป็นนักดนตรีใหม่ๆ ยังไม่ถึงปีเลย เพลงก็ยังแต่งกับเขายังไม่เป็น และไม่เคยคิดว่าจะแต่งกับเขาได้ยังไง ได้แต่ดูเขาแต่งเท่านั้น วันหนึ่งๆ ก็ได้แต่ดีดเปียโนจนเมื่อยนิ้วไปหมด…”

เหตุการณ์ต่อมาก็คือเพลงเอกของเรื่องยังแต่งไม่เสร็จ แม้ครูเพลงทั้งสองจะแต่งมาให้แล้ว แต่เจ้าของเรื่องและผู้กำกับยังไม่พอใจ เพราะต้องการให้เพลงนั้นมีท่วงทำนองแบบไทยๆ หวานเย็นและเศร้า โดยที่ทำนองเพลงของครูประกิจออกไปทางฝรั่ง ส่วนของครูโพธิ์ก็เป็นไทยครึ่ง ฝรั่งครึ่ง ทุกคนต่างพากันอึดอัด เพราะเรกงว่าจะเสร็จไม่ทันวันเปิดการแสดง

เย็นวันนั้นครูสง่า อารัมภีร ก็ไปนั่งดื่มเหล้ากับครูเวทางค์ที่ร้านโว่กี่ตรงข้ามศาลาเฉลิมกรุงและก็ปรารถถึงการแต่งเพลงน้ำตาแสงไต้ ซึ่งเป็นเพลงเอกในละครเรื่องพันท้ายนรสิงห์ที่ยังค้างคาอยู่ไม่แล้วเสร็จ

ครูทองอินหรือเวทางค์ ก็บอกว่า “เพลงไทยนั้นมีแยะ แต่ไอ้รสหวานเย็นและเศร้าที่หง่าว่ามันมีน้อย ที่อั๊วชอบมากและรู้สึกหวานเย็นเศร้าก็เห็นจะมีแต่ เขมรไทรโยค และลาวครวญเท่านั้น”

เมื่อพูดขาดคำ ครูเวทางค์ก็ร้องให้ฟัง เสียงดังลั่นร้านว่า “ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้…”

ร้องไม่ทันจบก็ขึ้นเพลงใหม่ “เสียงนกยูงทอง มันร้องโด่งดัง หูเราฟัง หูเราฟัง…” ทันที จนคนในร้านพากันขำ หัวร่อกันทุกคน

ซึ่งคืนนั้นครูสง่า อารัมภีร เล่าว่า ตนเองได้ข้ามฟากมานอนที่เก้าอี้ยาวของแผนกฉาก แล้วหลับฝันไปว่า

“…มีคนอยู่ 4 เป็นชาย 3 หญิง 1 แต่งกายแปลกมากเหมือนนักรบไทยโบราณ เขาถอดหมวกวางไว้บนเปียโน คนเล่นเปียโนผิวค่อนข้างขาว หน้าตาคมคาย อีกคนหนึ่งผิวคล้ำ นั่งอยู่ทางขวาของเปียโน คนที่ 3 อายุมากกว่า 2 คนแรก ผมหงอกประปราย ท่าทางเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หน้าตาอิ่มเอิบ ปล่อยผมยาวปรกบ่า กำลังเอามือท้าวเปียโนอยู่ด้านซ้าย…”

ในความฝันนั้นครูสง่า อารัมภีร เล่าว่า ชายคนแรกที่ชื่อเทพ เล่นเปียโนเพลงเขมรไทรโยค ส่วนผู้หญิงที่ชื่อธิดานั้น เล่นเพลงลาวครวญ และชายผิวคล้ำคนที่สามที่ชื่อว่า อมรนั้นนำเอาเพลงทั้งสองเพลงมาผสมกันอย่างไพเราะ และกลมกลืนกัน

ครูสง่า อารัมภีร เขียนเล่าเอาไว้ว่า “…ท่านที่รัก เสียงที่ลอยมาจากเปียโนนั้น สำเนียงไทยแท้มีรส “หวานเย็นเศร้า”

ศิษย์ทั้งสองของเขาจับมือกันอย่างเป็นสุข หน้าของผู้มีอายุยืนยิ้มละไม

คุณครูอมรได้รวมวิญญาณของเขมรไทรโยคและลาวครวญ ให้เป็นเกลียวเขม็งเข้าหากันอย่างสนิทแนบ สำเนียงและวิญญาณถอดออกมาจากเพลงทั้งสองอย่างครบถ้วน โดยที่เพลงเดิมไม่ได้เสียหายอะไรแม้แต่น้อย ดูดุจสองวิญญาณเก่า เข้าเคล้ากันจนเกิดวิญญาณใหม่ที่สวยงามขึ้นอีกวิญญาณหนึ่ง…”

เพราะเหตุที่ครูสง่า อารัมภีร เป็นนักเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับผีๆ สางๆ และวิญญาณต่างๆ และมีแฟนติดตามอ่านกันมากมายหลายเรื่องถึงขนาดพิมพ์รวมเล่มในชื่อว่าหนังสือแจ๋วเจอผี โดยใช้นามปากกาว่า “แจ๋ว วรจักร” เช่นเรื่อง วิญญาณสุนทรภู่ แจ๋วเจอพี่เหม ฯลฯ การเขียนเล่าเรื่องในแนวแบบนี้จึงน่าอ่าน น่าติดตาม

ครูสง่า อารัมภีร เล่าต่อไปอีกว่า

“…บ่าย 3 โมงวันนั้น…เมื่อนาฎศิลป์และละครกลับกันไปแล้ว บนห้องเล็กเหลือ ผม เนรมิต มารุต สุรสิทธิ์

เนรมิตและมารุตพากันบ่นถึงเพลงน้ำตาแสงไต้ว่า ทำนองที่คุณประกิจส่งมายังใช้ไม่ได้ ไม่ตรงกับความประสงค์ สุรสิทธิ์บ่นว่าเหลืออีก 3 วัน เดี๋ยวก็ร้องไม่ทันหรอก ผมนั่งฟังเขาสักครู่ ก็หันมาดีดเปียโน

ท่านที่รัก ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกได้พานิ้วมือของผมบรรเลงๆ ไปตามอารมณ์ ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร เพราะเคลิ้มๆ ยังไงพิกล ก็ได้ยิน เนรมิต ถามว่า “หง่า…นั่นเพลงอะไร?”

ผมสะดุ้งพร้อมกับนึกขึ้นได้ และจำทำนองได้ทันทีว่าเป็นเพลงที่ครูอมรดีด เป็นเพลงที่ผมได้ฟังอย่างประหลาด ผมจำได้หมด

ในบัดนั้น ผมหันไปถามเนรมิตว่า “เพราะหรือฮะ”

เนรมิตพยักหน้า พลางบอกให้ผมเล่นใหม่ ผมก็บรรเลงอีกหนึ่งเที่ยว ทั้ง เนรมิต และมารุตก็พูดขึ้นว่า นี่แหละ “น้ำตาแสงไต้”

ผมดีใจรีบจดโน้ตและประพันธ์คำร้องกันเดี๋ยวนั้น จากพล็อตขององค์ชายใหญ่เจ้าของเรื่อง มารุตเอ่ยขึ้น…”นวล เจ้าพี่เอย…” เนรมิตต่อ “คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ” แล้วก็ช่วยกันต่อ “ถ้อยคำดั่งเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย”

พอจบประโยคแรก สุรสิทธิ์ก็ร้องเกลาทันที ร่วมกันสร้างจบคำร้องในราว 10 นาทีเท่านั้นเอง

สุดท้ายเพลงก็ทันละครแสดง สมัยนั้นฉากสุดท้ายเมื่อทำนองน้ำตาแสงไต้พลิ้วขึ้น คนร้องไห้กันทั้งโรงแม้พันท้ายฯ จะสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ยังใช้ “น้ำตาแสงไต้” เป็นเพลงเอกอยู่”

เนื้อเพลงน้ำตาแสงไต้ ที่ร่วมกันแต่งเสร็จภายใน 10 นาที…

นวลเจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ

ถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย

น้ำตาอาบแก้ม เพียงแซมเพชรไสว

แวววับจับหัวใจ เคล้าแสงไต้ งามจับตา

นวลแสงเพชร เกล็ดแก้วอันล้ำค่า

ยามเมื่อแสงไฟส่องมา แวววาวชวนชื่นชม

น้ำตาแสงไต้ ดื่มใจพี่ร้าวระบม

ไม่อยากพรากขวัญภิรมย์ จำใจข่มใจไปจากนวล

นวลเจ้าพี่เอย……………. .นวลเจ้าพี่เอย

 

เพลงน้ำตาแสงไต้ (เวอร์ชั่น โจ้ วง Pause )

ทำนองเพลงลาวครวญ

ทำนองเพลงเขมรไทรโยค (โต๋)

Read Full Post »

จาก Post ที่แล้วที่กล่าวถึง Deliver Us จากหนังเรื่อง Prince of Egypt ซึ่งออกฉายเมื่อปี 1998 อีกเพลงหนึ่งซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนต์ที่ผมประทับใจมาก (เพลงประกอบฯ จากหนังเรื่องนี้ได้รางวัล Oscar ด้วย) และเป็นเพลงที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือ “When You Believe”  ในฉากนั้นชาวฮีบรูผู้ไม่เหลือสิ่งใดนอกจากศรัทธาและความหวัง ออกเดินทางตามการนำของโมเสส หนีจากจักรวรรดิ์อียิปต์ซึ่งกำลังอ่อนแรงจากภัยพิบัติธรรมชาติและโรคระบาด (การบีบบังคับของพระเจ้า?) มุ่งไปยังดินแดนที่ไม่รู้ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ คือ “The Promised Land” (เรียกว่าไปตายเอาดาบหน้า)

ภาพฝูงชนนับแสนนับล้านผู้ถูกกดขี่ ออกเดินจากบ้าน มุ่งไปตามศรัทธา หวังในปาฏิหารย์ เพื่อการปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของจักรวรรดิ์อียิปต์ (ที่กำลังตามไล่ล่า) ประกอบกับบทเพลง สร้างความสะเทือนใจ ตอนชมครั้งแรกในโรงถึงกับขนลุก น้ำตาซึมทีเดียว

“ปาฏิหารย์จะบังเกิด หากท่านเชื่อมั่นศรัทธา
แม้ความหวัง จะเปราะบางริบหรี่   แต่มันก็ยากที่จะถูกทำลาย
ใคร่เล่าจะรู้ ว่าปาฏิหารย์ที่ท่านได้รับ จะยิ่งใหญ่ปานใด
ท่านจักประสบชัย หากท่านยังเชื่อมั่นอย่างแท้จริง”

ขอให้เรามีความหวัง และ เชื่อมั่นอยู่เสมอเถิด

When You Believe

[Miriam]
Many nights we’ve prayed
with no proof anyone could hear
In our hearts a hopeful song
We barely understood
Now we are not afraid
Although we know there’s much to fear
We were moving mountains
Long before we ever knew we could

There can be miracles
When you believe
Though hope is frail
It’s hard to kill
Who knows what miracles
You can achieve
When you believe
Somehow you will
You will when you believe

[Tzipporah]
In this time of fear
When prayer so often proved in vain
Hope seemed like the summer birds
Too swiftly flown away
Yet now I’m standing here
With heart so full I can’t explain
Seeking faith and speaking words
I never thought I’d say

[Miriam and Tzipporah]
There can be miracles when you believe
Though hope is frail
It’s hard to kill
Who knows what miracles
You can achieve
When you believe
Somehow you will
You will when you believe…

[Hebrew Children]
A-shi-ra la-do-nai ki ga-oh ga-ah
(I will sing to the Lord, for he has triumphed gloriously)
A-shi-ra la-do-nai ki ga-oh ga-ah
(I will sing to the Lord, for he has triumphed gloriously)
Mi-cha-mo-cha ba-elim adonai
(Who is like You, oh Lord, among the celestial)
Mi-ka-mo-cha ne-dar- ba-ko-desh
(Who is like You, majestic in holiness)
Na-chi-tah v¡¯-chas-d¡¯-cha am zu ga-al-ta
(In Your love, You lead the people You redeemed)
Na-chi-tah v¡¯-chas-d¡¯-cha am zu ga-al-ta
(In Your love, You lead the people You redeemed)
A-shi-ra, a-shi-ra, a-shi-ra…
(I will sing, I will sing, I will sing)

[Hebrews]
There can be miracles
When you believe
Though hope is frail
It’s hard to kill
Who knows what miracles

You can achieve
When you believe
Somehow you will
Now you will
You will when you believe

[Miriam and Tzipporah]
You will when you believe

มีเวอร์ชั่นไทย ทำได้ดีน่าชมเชยทีเดียวครับ

When You Believe (Thai Version)

ปล. เพลงนี้ Version ที่เอาไปร้องตอนเป็นแบบอเมริกันสไตล์ (ผิวดำ) มันไม่เข้าจริงๆ เหมือนเอานักร้องผิวดำไปร้องเพลงยิว ไม่ได้อารมณ์เหมือนแบบ Soundtrack เลย

Read Full Post »

เคยได้ดูหนังเรื่อง “Prince of Egypt” เมื่อสิบปีที่แล้ว ยังประทับใจในบทเพลงในเรื่องนี้มาจนปัจจุบัน ทำได้ดีทั้งต้นฉบับ และ ที่เวอร์ชั่นที่แปลงเป็นไทย (ต้องชื่นชมในความตั้งใจของทีมงานไทยด้วย) เป็นเรื่องของตำนานของโมเสส ที่ปลดปล่อยชาวฮีบรู(ยิว)นับล้าน จากการถูกกดขี่ เป็นทาสของชาวอียิปต์ ในประวัติศาสตร์ ชาวฮีบรูถูกกดขี่มาเนิ่นนาน ไร้ดินแดนเป็นของตนเอง จนกระทั่งโมเสส ได้พาอพยพหนีไปตั้งหลักแหล่ง ณ ดินแดนพันธสัญญา (The Promised Land) หรือ คานาอัน ซึ่งปัจจุบันคือ ดินแดนแถบประเทศ อิสราเอล เลบานอน และ ปาเลสไตน์

ในบรรดาเพลงประกอบทั้งหมด มี 2 เพลงยอดเยี่ยมที่ผมประทับใจมาก เพลงแรกคือเพลงเปิดของเรื่อง “Deliver Us” บรรยายถึงทุกข์เข็ญของชาวฮีบรู ที่ถูกกดขี่ใช้เยี่ยงทาส พวกเขาอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อการปลดปล่อย และในภาคหลังเป็นฉากที่มีการไล่ล่าสังหารทารกตามบัญชาของฟาโรห์ เพราะกลัวคำทำนายเกี่ยวกับผู้ปลดปล่อย มารดาของโมเสสอุ้มบุตรน้อยหนีการล่าสังหาร นางยากแค้นจนไม่มียิ่งใดจะมอบให้บุตรสุดที่รักได้ และจนปัญญาจะช่วยเหลือ จำต้องยอมนำทารกน้อยใส่ตะกร้า ฝากแม่น้ำให้ช่วยนำบุตรของนางหนีไป ด้วยดวงใจแตกสลาย เนื้อเพลงสื่อความได้ชัดเจนได้อารมณ์มากๆ “My son, I have nothing I can give but this change that you may live. I pray we’ll meet again if he will deliver us”

เพลงนี้ไพเราะในท่วงทำนองและสะเทือนใจในเนื้อหาจริงๆ ลองชมกันครับ

Deliver Us

[Egyptian Guards]
Mud…Sand…Water…Straw…Faster!
Mud…And lift…Sand…And Pull
Water…And raise up…Straw…Faster!

[Slaves]
With the sting of the whip on my shoulder
With the salt of my sweat on my brow
Elohim, God on high
Can you hear your people cry:
Help us now
This dark hour…

Deliver us
Hear our call
Deliver us
Lord of all
Remember us, here in this burning sand
Deliver us
There’s a land you promised us
Deliver us to the promised land…

[Yocheved]
Yal-di ha-tov veh ha-rach
(My good and tender son)
Al ti-ra veh al tif-chad
(Don’t be frightened and don’t be scared)
My son, I have nothing I can give
But this chance that you may live
I pray we’ll meet again
If He will deliver us

[Slaves]
Deliver us
Hear our prayer
Deliver us
From despair
These years of slavery grow
too cruel to stand
Deliver us
There’s a land you promised us
Deliver us
Out of bondage and
Deliver us to the promised land…

[Yocheved]
Hush now, my baby
Be still, love, don’t cry
Sleep as you’re rocked by the stream
Sleep and remember my last lullaby
So I’ll be with you when you dream

River, o river
Flow gently for me
Such precious cargo you bear
Do you know somewhere
he can live free?
River, deliver him there…

[Young Miriam]
Brother, you’re safe now
And safe may you stay
For I have a prayer just for you:
Grow, baby brother
Come back someday
Come and deliver us, too…

[Slaves]
Deliver us
Send a shepherd to shepherd us
And deliver us to the promised land

[Yocheved]
Deliver us

 

Deliver Us Thai Version

เพลงที่สองติดตาม Post ต่อไปนะครับ

Read Full Post »