Feeds:
Posts
Comments

Archive for October, 2008

เห็นมีการนำเสนอเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกในอนาคต เลยเกาะกระแสนำเสนอคำทำนายอนาคตของประเทศไทยมั่งจ้า

ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาเกี่ยวกับการนำคำทำนายเกี่ยวกับประเทศไทยของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาเผยแพร่ (รู้สึกจะเริ่มมาจากทางเว็บเครือเนชั่น) ผมได้ลองค้นคว้าติดตามดู ปรากฏว่า บางส่วนเป็นเนื้อหาที่ผมได้เคยได้ยินมาเมื่อสัก 2-3 ปีก่อนหน้านี้ (จากรายการของ พตท. สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ผู้นำการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชใหม่ และ จตุคามรามเทพอันโด่งดัง) โดยเนื้อหาเป็นคำทำนายสถานการณ์ของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์

หลวงพ่��ปาน วัดบางนมโค

หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

ที่มาของคำทำนายจากการค้นคว้าดู พบว่ามีที่มา 2 แหล่ง คือ

1. แหล่งหนึ่ง กล่าวว่า เป็นคำทำนายเขียนไว้ในสมุดข่อย โดยนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) พระอริยสงฆ์ (เขาว่าเป็นพระอรหันต์) ในสมัยปลายยุคกรุงศรีอยุธยา โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยอ่านสมัยเมื่ออยู่กับอาจารย์ของท่าน (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค) เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2480 โดย มีการทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองของปลายยุคกรุงศรีฯถึงการเสียกรุง และ กรุงใหม่ (คือกรุงรัตนโกสินทร์) อีก 10 รัชกาล ซึ่งแบ่งเป็นยุคต่างๆ ตามรัชกาลตั้งแต่ 1-10 (บางคนตีความว่าจะมีเพียง 10 รัชกาล) ได้แก่

๑. มหากาฬผ่านมหายักษ์  ๒. รู้จักธรรม ๓. จำต้องคิด ๔. สนิทธรรม ๕. จำแขนขาด ๖. ราษฎร์ราชาโจร ๗. นั่งทนทุกข์ ๘. ยุคทมิฬ ๙. ถิ่นกาขาว ๑๐. ชาววิไล

รายละเอียดลองอ่านตามลิ้งค์นี้ เว็บไซต์วัดท่าซุง

2. อีกแหล่งหนึ่ง กล่าวว่า เป็นคำทำนายที่พบในกระดาษที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี เขียนทิ้งไว้ โดยพบเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2415 กล่าวถึงสถานการณ์ของไทยในยุคของแต่ละรัชกาลเช่นกัน ดังนี้

สมเด็จโต พรหมรังสี

สมเด็จโต พรหมรังสี

๑.มหากาฬ ๒.พาลยักษ์ (ภาณยักษ์) ๓.รักมิตร (รักบัณฑิต) ๔. สนิทธรรม ๕. จำแขนขาด ๖.ราษฎร์โจร (ราชโจร) ๗.ชนร้องทุกข์ ๘.ยุคทมิฬ ๙. ถิ่นตาขาว(ถิ่นกาขาว) ๑๐.ชาวศิวิไล

รายละเอียดลองอ่านตามลิ้งค์นี้ เว็บไซต์สามก๊กไทย 

จะเห็นได้ว่า ใกล้เคียงกันมากทีเดียว โดยเฉพาะเมื่ออ่านคำอธิบายของแต่ละยุค ก็ตรงกัน เช่น รัชกาลที่ 5 จำแขนขาด คือ จำต้องเสียดินแดนให้ต่างชาติ จะมีแตกต่างกันก็คือ ยุครัชกาลที่ 2และ 3 ความเห็นของผมเองคิดว่า คงมาจากแหล่งเดียวกัน คือ มีมาตั้งแต่สมัยปลายยุคอยุธยา แต่ผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ที่ผมสนใจคือ คำทำนายในช่วงรัชกาลหลังๆ คือ ตั้งแต่รัชกาลที่ 9-10 ที่เป็นช่วงอายุของเรานี่แหละ (จะเห็นว่าตรงกันทั้ง 2 ตำรา)
หลวงพ่ฤาษีลิงดำ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ยุคที่ 8 “ยุคทมิฬ” คือ ยุคที่มีเรื่องเลวร้ายหลายประการ เช่น สงครามโลก การเสียชีวิตของ ร.8 และการครองอำนาจโดยเผด็จการทหาร ที่ต่อเนื่องไปถึงต้นยุครัชกาลที่ 9 จนเกิดกรณี 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519

ยุคที่ 9 “ยุคถิ่นกาขาว (ตาขาว)” คือยุครัชกาลปัจจุบันที่ได้รับอารยธรรมตะวันตกมามาก วิทยาการตะวันตกเฟื่องฟูในประเทศไทย รวมทั้งมีการติดต่อกับชาวต่างชาติอย่างกว้างขวาง

ยุคที่ 10 “ยุคชาวศิวิไล” คาดว่าเป็นยุครัชกาลที่ 10 ซึ่งประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรื่องยิ่ง ทั้งทางวิยาการ เศรษฐกิจ และ จริยธรรม

สำหรับคำทำนายในยุคที่ 9 คือยุคถิ่นกาขาวนี้ มีคำทำนายละเอียด ที่กล่าวว่า ทำนายโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2518 โดยข่าวว่า มีผู้นำคำทำนายมาแต่งเป็นกลอนดังนี้
(หมายเหตุ คำกลอนนี้ทางคณะศิษย์วัดท่าซุง แจ้งว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่ได้เป็นผู้แต่งขึ้น ส่วนเป็นผู้ใดแต่งนั้นไม่ทราบ)

คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

ลองอ่านดูก็เป็นจริงแล้วหลายประการ น่าสนใจดี ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นจริงตามคำทำนายที่เหลือหรือไม่นะ

Read Full Post »

Goodyear

ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตากรรม

กลางฤดูร้อนปี ค.ศ. 1834 ชายซอมซ่อคนหนึ่งเดินทางจากนิวยอร์กกลับบ้านที่เมืองฟิลาเดลเฟีย เมื่อไปถึง เขาถูกจับเข้าคุกเนื่องจากมีหนี้สินค้างชำระมานาน

เขาบอกภรรยาว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่การไปพักใน ‘โรงแรม’ เท่านั้น”

เขาขอให้ภรรยานำยางดิบและอุปกรณ์หลายชิ้นมาให้ และใน ‘โรงแรม’ แห่งนั้น เขาก็เริ่มทำการทดลอง

เขาเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ก และพบเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง

เขาชื่อ ชาร์ลส์ กูดเยียร์ แต่หลายปีที่ตามมาไม่ใช่ปีที่ดี (good year) ของเขาแน่นอน

กูดเยียร์เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจ เป็นหุ้นส่วนกับพ่อ ผลิตสินค้าต่างๆ เช่นกระดุม อุปกรณ์การเกษตร ฯลฯ แต่เมื่ออายุยี่สิบเก้า สุขภาพของเขาเสื่อมลง เช่นเดียวกับธุรกิจ ในที่สุดก็ต้องเลิกกิจการ

จุดที่สร้างความเปลี่ยนชีวิตเขาเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในนิวยอร์ก เขาเห็นห่วงยางชูชีพที่คุณภาพไม่ดี

เขากลับบ้านมาลองทำงานปรับปรุง และนำตัวอย่างงานที่เขาแก้ไขไปเสนอบริษัทผู้ผลิตยางแห่งแรกของอเมริกา

ผู้จัดการบริษัทชอบใจงานของเขา แต่บอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะบริษัทนั้นกำลังไปไม่รอด เนื่องจากสินค้ายางทั้งหลายของบริษัทถูกส่งคืนมาจากทุกที่ คนใช้สินค้าเบื่อหน่ายที่ยางแข็งเป็นก้อนในฤดูหนาว และเหลวเป็นกาวในฤดูร้อน

ในวันนั้นกูดเยียร์มองกองสินค้ายางที่ถูกส่งคืนมา แทนที่จะเห็นเหมือนคนอื่นว่าสิ้นสุดยุคสินค้ายางแล้ว เขากลับรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นและท้าทายยิ่ง เขาคิดปรับปรุงคุณภาพของสินค้ายางเหล่านั้น

หลังจากออกจากคุก เขาทำการทดลองอย่างขะมักเขม้น ด้วยความช่วยเหลือของเมียและลูกและเพื่อน ใช้บ้านเป็นที่ทดลองและผลิต

เขาเห็นว่า ในเมื่อยางเป็นวัสดุธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติยึดตัวเองได้ ทำไมจะไม่สามารถใส่สารอะไรสักอย่างเพื่อช่วยไม่ให้มันไม่เหนียวเหนอะหนะ

กูดเยียร์ขายทุกอย่างเอาเงินมาทดลอง ใครๆ ก็บอกให้เขาเลิกทดลอง เพราะครอบครัวเดือดร้อน ลูกๆ ไม่มีอะไรกิน

กูดเยียร์ย้ายไปนิวยอร์ก อยู่ในห้องเล็ก ทดลองหาส่วนผสมที่ถูกต้อง หลายปีนั้นชีวิตของเขาเต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก แต่คำว่า ‘เลิก’ ไม่เคยอยู่ในหัวของเขา สุขภาพเสื่อมลงจากการทดลองที่ใช้สารเคมี ครั้งหนึ่งเกือบสำลักแก๊สจากการทดลองตาย

มีคนบอกว่า “ทำไปทำไม ยางน่ะตายไปแล้ว”

แต่เขาก็ยังทำงานต่อไป

เขาลองทุกอย่าง ทุกทางที่คิดออก ในที่สุดก็สามารถทำให้ยางอินเดียไม่เหนียวเหนอะหนะสำเร็จในระดับหนึ่ง

เขาหาหุ้นส่วนและสร้างโรงงานผลิตสินค้ายาง ทุกอย่างดูสดใสขึ้น เขาฝันว่าจะทำทุกอย่างด้วยยาง ห่วงชูชีพ ธง เครื่องประดับ เครื่องดนตรี แม้กระทั่งธนบัตร แต่เศรษฐกิจซบเซาในปี 1837 ก็ทำให้ธุรกิจของเขาล่มสลาย เขาสิ้นเนื้อประดาตัวอีกครั้ง

ตลอดเวลานั้น ครอบครัวของเขาก็เดือดร้อนด้วย อยู่อย่างยากจน เพื่อนบ้านให้อาหารแก่เด็กของเขา และอนุญาตให้ขุดมันฝรั่งมากิน

วันหนึ่งเขาเดินเข้าร้านขายของแห่งหนึ่งเพื่อแสดงผลงานยางที่ผสมซัลเฟอร์ เขาทำให้แผ่นยางปลิวโดยบังเอิญ มันลอยตกไปบนเตาร้อน

เขาพบว่ามันไม่หลอมละลาย แต่กลับดูคล้ายแผ่นหนัง พื้นผิวเรียบสวย เขาได้ทำยางกันน้ำสำเร็จแล้ว!

ตอนนี้กูดเยียร์รู้แล้วว่าซัลเฟอร์กับความร้อนเป็นองค์ประกอบ แต่ไม่รู้ว่าต้องร้อนแค่ไหน และนานเท่าไร

อย่างอดทน เขาค่อยๆ ย่างยางบนทรายร้อน และทดลองต่อไปอย่างอดทน สูดดมกลิ่นที่เกิดจากสารเคมีเข้าไปตลอดเวลา

เขาจำนำนาฬิกา เครื่องเรือน แม้แต่ถ้วยชาม เขาทำจานยางมาใช้แทน ช่วงนั้นสุขภาพของเขาทรุดโทรมหนัก ต้องใช้ไม้เท้าในการทำงานทดลอง

เขาพยายามหาเงินลงทุน แต่คนที่เคยให้เงินเขาเข็ดเสียแล้ว เพราะเขายืมเงินบ่อยและทำงานไม่สำเร็จสักที

เขาถูกส่งตัวเข้า ‘โรงแรม’ อีกครั้งเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าโรงแรมเพียงห้าเหรียญ

เมื่อกลับบ้าน เขาพบว่าทารกชายของเขาตายเสียแล้ว

กูดเยียร์มีลูกทั้งหมดสิบสองคน หกตายตั้งแต่ยังเป็นทารก เขาไม่มีเงินแม้แต่ค่าทำศพลูก ต้องยืมรถศพจากคนอื่น

แต่งานทดลองก็ดำเนินต่อไป

ไม่มีอะไรในโลกที่หยุดยั้งความเพียรของมนุษย์ได้ ในที่สุดบุรุษผู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคก็พบสูตรว่า ไอน้ำใต้แรงกดดัน 4-6 ชั่วโมง อุณหภูมิ 270 องศาฟาห์เรนไฮท์ให้ผลดีที่สุด เขาหานายทุนได้ และเริ่มผลิตอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามความสำเร็จในการประดิษฐ์ไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยเสมอไป เขาได้รับลิขสิทธิ์ทะเบียนยางบางชิ้น แต่การจดทะเบียนอีกหลายชิ้นในต่างประเทศกลับไม่สำเร็จ เพราะถูกคนอื่นช่วงชิง

ตัวอย่างงานชิ้นหนึ่งของเขาถูกชาวอังกฤษคนหนึ่งเห็นลอกเลียน และจดทะเบียนดักหน้า เมื่อเขาตายในปี 1860 เขาเป็นหนี้อยู่สองแสนเหรียญ

โลกเราหมุนมาได้ถึงจุดนี้ก็เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด และหากทำงานหนักและต่อเนื่องพอ ผลลัพธ์ย่อมไม่แย่แน่นอน

ชีวิตของพวกเขาอยู่ที่งาน ยอมทำทุกอย่าง ยอมลำบากเพื่อความฝันของตนเอง

ชาร์ลส์ กูดเยียร์, วินเซนต์ แวน โกะห์ และอีกหลายๆ นาม คือคนที่ล้มเหลวยามเมื่อมีชีวิต แต่งานของพวกเขาเป็นอมตะ

สมการที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอน์สไตน์อาจคือ E = mc2 แต่น้อยคนรู้ว่า ไอน์สไตน์ก็มีอีกหนึ่งสมการที่ทำยากเช่นกัน เป็นสมการแห่งความสำเร็จ

A = x + y + z

A คือความสำเร็จในชีวิต x คืองาน y คือการเล่น z คือปิดปากและทำงานเสีย!

ไอน์สไตน์บอกว่า พยายามอย่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเลย แต่เป็นคนที่มีคุณค่าจะดีกว่า บางครั้งการได้ทำ แม้ไม่สำเร็จ มีค่ากว่าความสำเร็จ

นี่คือข้อแตกต่างระหว่าง สิ่งที่ได้ทำ (achievement) กับความสำเร็จ (success)

กูดเยียร์เขียนว่า “ชีวิตไม่ควรถูกคำนวณจากมาตรฐานของเงินตราอย่างเดียว ผมไม่ได้บ่นว่าผมได้เพาะหว่านและคนอื่นเก็บเกี่ยวผลไป เราสมควรจะเสียใจก็ต่อเมื่อเราเพาะหว่านไปแล้ว ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมา”

เพราะสำหรับคนบางคน ความยากลำบากไม่มีความหมายอะไรเลย ความสุขระหว่างการทำงานต่างหากคือรางวัล

หมายเหตุ – ความสำเร็จในการประดิษฐืไม่ได้หมายความถึงความร่ำรวยเสมอไป กูดเยียร์ได้รับสิทธิบัตรทะเบียนยางบางชิ้น แต่การจดทะเบียนอีกหลายชิ้นในต่างประเทศกลับไม่สำเร็จ เพราะถูกคนอื่นลอกเลียนและจดทะเบียนดักหน้า

เมื่อกูดเยียร์ตายในปี พ.ศ.2403 เขาเป็นหนี้อยู่สองแสนเหรียญ อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของกูดเยียร์ก็มีชีวิตอยู่ได้จากสิทธิบัตรผลงานบางตัวของเขา

………………………………………………………………………………………………….

(ตีพิมพ์ครั้งแรก : เปรียว 2549)

วินทร์ เลียววาริณ “เบื้องบนยังมีแสงดาว” หนังสือเสริมกำลังใจ ชุด 3

Read Full Post »

เพื่อนแนวของเรา นาทีที่ 3:24 ต่อไปอีกเล็กน้อย ว้ากเก้อร์ ผู้ symposium กับเรา

Read Full Post »

ครั้งหนึ่งเราเรียกเขาว่า ความหวังกีตาร์ฮีโร่เมืองไทย หนึ่งในความภาคภูมิใจ ได้ signature จาก Fender รู้สึกจะเพียงหนึ่งเดียวในเอเชียนะ ไหนๆก็ชื่นชมข้างนอกกันมามากแล้ว จะไม่มองของเราก็กระไรอยู่

Read Full Post »

คัดเลือกคัดสรรมาฝากกัน สีสันธรรมชาติ

Read Full Post »

บงดาบละดาบพลิ้ว   จักรวาล

บงหอกละหอกหาญ  กระหวัดฟ้า

บงกระบี่ระบือกานท์  ระบัดกาพย์

คือทิพยกวีโรจน์หล้า  ร่วงรุ่งคำหอม

หลอมภาพละภาพไว้  เลวงสวรรค์

ปลุกชีพละชีพประชัน  ประโชติด้าว

ปลุกใจละใจประจัญ  สัจจานุสัจจ์

ปลุกเกลียดปลุกรักร้าว  ปลุกแก้วประกายสมัย

ไพเราะอุโฆษครื้น  คระหึ่มเสียง

ดื่มดุริยจำเรียง  มธุรถ้อย

ละสีละเส้นเพียง   เนรมิตร

มาจัดประจงร้อย  รจิตรให้พะวงผวา

ริบตาไปหมดแล้ว   ริบใจ

ชนะนอกชนะใน     ศึกสู้

แสนดาบปราบประลัย   อริราบ

ตัดอัตตานุภาพรู้    เผด็จด้วยกระบี่เดียว

………………………………………………………………….

จากนิตยสาร happening free 20  โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

(แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Hero ของ จางอี้โหมว)

Read Full Post »

เสื้อผ้า เป็นปัจจัยสำคัญ 1 ใน 4 ของมนุษย์ แม้ว่าสำหรับนักบวช หรือ นักปราชญ์ หลายๆท่าน อาจปฏิเสธที่จะนุ่งห่ม เพื่อแสวงอภิธรรม หรือ จิตหลุดพ้นสู่โลกุตระไปแล้ว แต่สำหรับปุถุชนธรรมดาอย่างผม ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยเสื้อผ้าเพื่อนุ่งห่มปิดบังกายไม่ให้อุจาดและเพื่อปกป้องร่างกายอยู่

เสื้อผ้าทีสวมใส่ จำเป็นต้องสะอาด ถามว่าสะอาดแค่ไหน บางคนอาจถกกันว่าอะไรเรียกว่าสะอาด อะไรเรียกว่าสกปรก หรือ อาจกระทั่งให้เหตุผลในเรื่องของสัมพัทธภาพถึงการแบ่งแยกระหว่างความสะอาดและความสกปรก ว่าแล้วแต่ว่าเปรียบเทียบกับอะไร ผมก็ขอตอบว่าเอาแค่สะอาดเพียงพอกับการที่จะสามารถสวมใส่ได้ คือ ใส่แล้วไม่เป็นโรคผิวหนัง ไม่เจ็บป่วยด้วยการติดเชื้อโรคที่อยู่ในเสื้อผ้านั้น นั่นก็เพียงพอ จะให้ดีขึ้นอีกหน่อยก็คือใส่แล้วเดินไปนอกบ้านไม่ขมุกขมอมจนต้องอายเขา นั่นคือความต้องการพื้นฐานสำหรับมนุษย์ (เป็นธรรมชาติปกติของร่างกายมนุษย์ ซึ่งไม่อาจทนทานต่อเชื้อโรคที่มาจากความสกปรกได้)

แต่แน่นอน เสื้อผ้านั่นก็คงไม่ได้สะอาดจนปราศจากมลทิน มันอาจมีรอยเปื้อนตรงนั้นตรงนี้บ้าง อาจมีกลิ่นอับชื้นบางจุด และแน่นอนมันก็ย่อมมีจุลชีพเกาะติดอยู่มากพอควร แต่นั่นก็ธรรมดาของสิ่งต่างๆในโลก มันไม่มี Abosolute แต่มันก็เพียงพอกับการสวมใส่ โดยไม่ได้ทำอันตรายต่อร่างกาย

เสื้อผ้าบางชุดมันสกปรก มีของเน่าเหม็นเปรอะเปื้อน เต็มไปด้วยเชื้อร้าย มนุษย์ธรรมดาที่มีประสาทสัมผัส และสามัญสำนึกปกติ ย่อมแยกรู้ ดูออก ว่ามันสกปรกเกินสวมใส่ โดยไม่ต้องให้ใครมาคอยโฆษณา (หรือที่ปัจจุบันอาจเรียกว่า สื่อสารมวลชน) ซึ่งมันก็จะมีทั้งแบบเชียร์ว่าเสื้อนี้มันสะอาดหอมนะ หรือ แบบที่บอกว่านี่มันสกปรกเน่าเหม็น อัปรีย์ (ซึ่งมันก็อาจจะโอเวอร์ไปหน่อย) ถึงอย่างไร เสื้อมันก็สกปรกอยู่ดี มันรู้ มันเห็นเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก ถ้าไม่ได้ประสาทสัมผัสบกพร่อง หรือ มีอคติเกินไป

บางคนก็เอาเอาหอมมาพรมไว้ แล้วบอกชาวบ้านว่านี่มันเสื้อสะอาด หอมนะ แต่ถ้าพินิจ ศึกษา ดูข้อมูลให้รอบด้านเพียงพอ ก็จะรู้ได้เองอย่างชัดเจน ว่ามันสกปรกอยู่ดี

พอถึงตรงนี้ ก็มีคนมาบอกว่า จะหาเสื้อผ้าสะอาดได้จริงๆที่ไหน มันก็สกปรกทั้งนั้นแหละ ทำให้หลายๆคนชักเริ่มแยกไม่ออกระหว่างเสื้อสกปรกเน่าเหม็น ก็เสื้อที่มันเปื้อนอยู่บ้างแต่ยังใส่ได้ จะเอามาขยำปนกัน ให้เห็นว่ามันก็สกปรกเหมือนๆกันนั่นแหละ แล้วจะมาบังคับให้คนอื่นใส่เสื้อสกปรก หลายๆคนเขาก็ทนไม่ได้ เขาเรียกร้องหาเสื้อผ้าสะอาด (ถ้าถามว่าสะอาดแค่ไหน ก็สะอาดแบบที่อธิบายไปแล้ว) ซึ่งมันไม่เกี่ยวว่าใครปลุกระดมอะไร หลายๆคนเขารังเกียจเสื้อผ้าสกปรก เขาก็มารวมกันเรียกร้องว่าไม่ต้องการเสื้อผ้าสกปรก ขอเสื้อผ้าสะอาดใส่ได้ไหม

สำหรับผมแล้ว มองอธิบายปรากฏการณ์สังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นแบบนี้ จริงๆแล้วผมก็ไม่ต้องการอ้อมค้อม อยากพูดเปิดอกตรงๆไปเลย เพราะตอนนี้อะไรๆมันก็หงายไพ่เล่นกันหมดแล้ว แต่ที่สาธยายมาเสียยืดยาวนี้ ก็เป็นการยกเรื่องราวเปรียบเทียบ ซึ่งมันก็อาจไม่ตรงกับที่ใจต้องการสื่อทั้งหมดนัก ก็เอาเท่าที่พอคิดได้ตอนนี้ละกันนะ

ตัวผมเองก็ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสื่ออยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เป็นอคติจนหลงงมงาย ผมพยายามศึกษาข้อมูลจากสื่อหลายๆทาง และจากสิ่งที่ไม่ใช่สื่อด้วย เช่น การพูดคุยกับผู้คนในหลายๆกลุ่ม ทั้งในเมือง ต่างจังหวัด จนกระทั่งลงไปในสถานที่จริง ผมสนใจติดตามปรากฏการณ์สังคมมานานก่อนหน้านี้หลายปีตั้งแต่ก่อนยุคสมัยของพรรคไทยรักไทย และก็ไม่ได้รักนับถือในพรรคการเมืองใดๆเป็นการเฉพาะ (ก่อนหน้านี้ผมชอบไทยรักไทยมาก และ เกลียดประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ) ข้อมูลหลายๆอย่างมันไม่ได้มาจากสื่อใดสื่อหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ได้ตรวจสอบกับสื่ออื่นๆแล้วพอควร ผมจึงอยากจะบอกว่า ผมไม่ได้อาศัยอคติจากสื่อใดๆ ถ้าจะมีก็คงเป็นอคติจากตัวของผมเอง

ที่อธิบายมาเสียยืดยาว ก็แค่อยากเปิดใจให้ฟังบ้าง และ พยายามพูดให้ตรงประเด็นที่อาจเห็นแย้งกันอยู่ ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่เป็นระดับโลกุตระ และสุดท้ายถึงอย่างไร ก็ยังอยากรักษามิตรภาพต่อกัน เหมือนที่เราตั้งกติกาไว้ว่า ใน Symposium ถกเถียงกันได้ แต่อย่างโกรธทะเลาะกันครับ

ล่วงเกินประการใด ก็ขออภัย

Read Full Post »

ตาม Web ต้นฉบับเน้นว่าเหตุการณ์น้ำท่วมโลกจะเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นโลกเคลื่อนมากกว่า เกิดจากน้ำแข็งละลายซึ่งทุกวันนี้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1 องศาใน 20 ปี ทำให้น้ำแข็งละลายและน้ำทะเลสูงขึ้นปีละ1 เซนติเมตร ซึ่งหากเกิดน้ำท่วมโลกจากน้ำแข็งละลายจริงคนค่อยอพยพถอยร่นไปได้ทันแน่ๆ
ผู้ที่ทำแผนที่ขึ้นมาคือนาย Gordon-Michael Scallion มี Web Site ชื่อว่า earthchanges.com นายคนนี้แกเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก(ตามที่ Web site ของแกกล่าวอ้าง) จบการศึกษาท่างด้านอิเลคทรอนิคส์(ไม่ได้บอกว่าระดับไหน) ในปี 1979 เคยเกือบตายมาแล้วแต่กลับฝื้นขึ้นมาได้ในที่ หลังจากนั้นก็พบว่าได้รับพรสวรรค์ในเรื่องของการหยั่งรู้อนาคต โดยบางสิ่งที่เขาทำนายถูกต้องก็ได้แก่ เหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใน ลอสแองเจอริส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2535, แผ่นดินไหวใน แลนเดอร์ส (Landers) และ บิกเบียร์ (Big bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม 2537 และแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538 เป็นต้น
แผนที่นี้ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) นาย Gordon ได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้งแรก โดยก็มองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง ทำให้เข้าสามารถสร้าง แผนที่โลกในอนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี พ.ศ.2525 โดยนาย Gordon เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012(พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อน โดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในแต่ละพื้นที่ดังน

แผนที่โลกใหม่

แผนที่โลกใหม่

เอเชีย — เนื่องจากมีวงแหวนไฟ(Ring of Fire)ผ่าน Asia แนวเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก(Plate boundary) โดยส่วนแนวเขตนื้เรียกว่า (riff) ทำให้เป็นเขตเกิดแผ่นดินไหวสูง ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเขตนี้ โดยจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ ฟิลิปปิน ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่ง(เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับรัสเชีย) รวมทั้งหมู่เกาะคูรินและเกาะแซคาลิน(เป็นของรัสเชีย อยู่ใกล้กับ ฮอกไกโด ญี่ปุ่น) เนื่องมาจากแผ่นแปซิฟิกเคลื่อน(Pacific Plate shift)ไป 9 องศา เกาะญี่ปุ่นจะจมเหลือไว้เพียงแค่ 2-3 เกาะเล็กๆเท่านั้น ไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะหายไปในทะเล และด้วยเหตุที่แผ่นโลกเคลื่อนตัวนี้ แนวฝั่งของจีนจะเลือนร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ อินโดนีเซียจะถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะมีเกาะใหม่เกิดขึ้นมาด้วยก็ตาม ฟิลิปปินส์จะถูกกลืนหายลงไปในทะเล เอเชียจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ และจะมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นด้วย
สิ่งที่ความพิจารณาจากคำทำนายนี้ก็คือ เอเชียอยู่บน 3 แผ่นทวีปคือ 1.แผ่นฟิลิปปิน 2.แผ่นอินโด-ออสเตรเลียน 3.แผ่นยูเรเซียน(ไทย – จีน อยู่บนแผ่นนี้) บริเวณที่ไทยและจีนอยู่เป็นเขตแผ่นดินยกตัวดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นจริงน่าจะเป็นไปในทางที่ทำให้แผ่นดินยกตัวสูงขึ้นมากกว่า โดยที่แผ่นแปซิฟิกที่ว่าเคลื่อนไป 9 องศานั้น ทิศทางการเคลื่อนที่ตามปกติก็จะเคลื่อนที่ในทิศทาง มุดตัวลงใต้แผ่นทวีป ยูเรเซียน บริเวณ ประเทศญี่ปุ่นและมุดตัวลงใต้แผ่นฟิลิปปิน และ แผ่นอินโด-ออสเตรเลียนมุดตัวใต้แผ่นยูเรเซียนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งการมุดตัวดังกล่าวจะทำให้ทวีปยกตัวขึ้น ข้อพิสูจน์นี้ก็ได้แก่ที่ราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลัย และ อีสานของไทย ซึ่งถูกยกตัวสูงขึ้นจากเมื่อ 60-20 ล้านปีก่อน

แผนที่เเชียครับ

แผนที่เอเชียครับ

เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้จะหาข้อมูลเพิ่มเติม ใครมีข้อมูลบอกกันมั่งนะครับ จะได้ัเตรียมซื้อที่ไว้ก่อน^^

ข้อมูลน้ำมาจาก http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=chaigolf&jucId=32636

Read Full Post »

ทั้งหมดตัดทอนจาก บทความ “เลิกคิดจึงเข้าใจ” จากหนังสือ “ผ่านพ้นจึงค้นพบ แกะรอยจิตวิญญาณในงานเขียน” โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก มีนาคม 2551 โดย สำนักพิมพ์สามัญชน

……………………………………………………………………….

ความคิดกับตัวตนเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เพราะความคิดไม่เพียงพาเราหลุดลอยไปจากความจริงแห่งปัจจุบันขณะ… หากยังย้อนมาปรุงแต่งอัตตาของผู้คิดด้วย เพราะฉะนั้นหนทางหนึ่งในการสลายตัวตนคือการหยุดคิดและหันมาสัมผัสโลกตามที่มันเป็นอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับมันในทุกห้วงยามโดยไม่ต้องไปตีความ‘  (รู้ทันตัวเอง)

……………………………………………………………………….

ตัวตนที่เราสมมติขึ้นมา ทำให้เรายืนประจันทุกอย่างที่ไม่ใช่เรา และทุ่มเทพลังชีวิตไปสู่ผู้อื่นสิ่งอื่นให้สอดคล้องกับอุปาทานที่ห้อมล้อมสภาวะสมมติดังกล่าว เช่นนี้แล้ว โลกเแห่งอัตตาจึงเป็นโลกแห่งความขัดแย้ง… คงไม่ผิดความจริงมากนักหากจะกล่าวว่า โลกแห่งอัตตาคือสนามรบเพื่อช่วงชิงฐานะครอบงำ‘ (รู้ทันตัวเอง)

ตรงนี้นับว่าเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ที่ลึกล้ำยิ่ง เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการแบ่งแยกเราเขาฉันเธอ อีกทั้งมักนำไปสู่การตัดสินคุณค่าโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ตลอดจนโลกทรรศน์แบบขาวล้วนดำล้วน

สภาพดังกล่าวไม่เพียงเกิดขึ้นในระดับปัจเจกบุคคล หากบางครั้งยังสามารถขยายไปเป็นอัตตารวมหมู่ (Collective Ego) เป็นปรากฎการณ์ทางสังคม ดังจะได้เห็นจากบรรยากาศการเมืองไทยในระยะสองสามปีที่ผ่านมา

ช่วงนั้น ผมได้เขียนเตือนสติเพื่อนพ้องไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า มายาคติที่ผู้คนยึดถืออาจสวนทางกับความจริง

ผมก็ไม่ได้ดัดจริตเหมือนกันเมื่อเอ่ยถึงลักษณะสัมพัทธ์ของความจริงทางสังคม และความเป็นอนิจจังของจุดยืนทางการเมือง… ผมเพียงแต่ห่วงใยว่าในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงสังคม เราอาจต้องเดินเฉียดกับดักแห่งความเคียดแค้นจนติดหล่มได้ เพราะเรา้ยึดถือป้ายประกาศทางการเมืองเป็นเรื่องขาวล้วนดำล้วนมากเกินไป… เรามีบทเรียนมากแล้วทั้งในระดับชาติระดับสากลที่ชี้ให้เห็นว่าการนำป้ายยี่ห้อทางการเมืองมาตัดสินกันอย่างสุดขั้ว ล้วนนำไปสู่โศกนาฏกรรม‘ (นอกเหนือการเมือง)

……………………………………………………………………….

วิธีเดียวที่จะทำให้คนอื่นครอบงำท่านไม่ได้ คือ การไม่ปรารถนาอะไรจากพวกเขา เมื่อไม่ปรารถนาสิ่งใด คนอื่นไม่เพียงต้องถอนแรงกดดันออกไป แม้แต่ตัวท่านบัดนี้ยังต้องถือว่าถอนตัวจากตนเอง… ใช่หรือไม่ว่าเมื่อไม่ต้องการสิ่งต่างๆจากผู้อื่น ท่านย่อมก้าวพ้นโซ่ตรวนภายนอก และเมื่อเลิกยึดติดในความต้องการของตัวเอง ท่านย่อมหลุดพ้นจากพันธนาการภายใน‘ (ผู้อื่นในตัวเรา)

……………………………………………………………………….

แน่ละว่า การทดสอบสำคัญที่สุดของภาคปฏิบัติ คือปฎิกิริยาของเราในสถานการณ์ที่ตัวตนถูกคุกคาม ยามนั้นเราจะปกป้องหรือปล่อยวางมัน นับเป็นเรื่องที่หลอกตัวเองไม่ได้ และถือเป็นดัชนีวัดระดับการเติบโตทางจิตวิญญาณที่แท้จริง

ต่อประเด็นเช่นนี้ ผมมีบันทึกประสบการณ์อยู่สองเรื่องคือ ‘วันที่ถอดหมวก’ กับ ‘คน หมาและงู’ กรณีแรกผมถอดหมวกให้หมาจรจัดที่ไม่ชอบคนใส่หมวก  กรณีที่สอง ผมขอร้องงูเห่าที่กำลังแผ่แม่เบี้ยให้แยกไปอย่างสันติ ในทั้งสองกรณีผมถูกคุกคามทางกายถึงระดับความเป็นความตาย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการท้าทายทางด้านความคิดและจิตใจ

คนเราถ้าติดหลงในเรื่องไหนมาก บทเรียนที่ฟ้าดินมอบให้ในเรื่องนั้นก็ยิ่งแรงพอๆกัน เช่นนี้แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนที่คนยึดถือศักดิ์ศรีอย่างผมต้องมาก้มยอมให้กับหมาจรจัดตัวหนึ่งเพื่อฝึกฝนทั้งความเมตตาและความนอบน้อมถ่อมตน‘ (วันที่ถอดหมวก)

แต่เมื่อมองย้อนหลังไปแล้ว ผมรู้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมสื่อกับสัตว์ทั้งสองได้สำเร็จ รอดพ้นการเจ็บตัว ก็เพราะในห้วงยามนั้นผมได้สลัดความเห็นทั้งหมดออกไป… ไม่มีใครเป็นคน ไม่มีใครเป็นหมา ไม่มีใครเป็นงู ไม่มีใครเป็นมิตร ไม่มีใครเป็นศัตรู ไม่มีใครอยากทำร้ายใคร… ทุกอย่างเป็นสำนึกแห่งปัจจุบันขณะ เป็นปฎิสัมพันธ์แบบฉับพลัน เป็นธรรมชาติ ระหว่างสรรพชีวิตที่ถือกำเนิดจากธาตุเดียวกัน

พูดก็พูดเถอะ เรื่องนี้ต้องเลิกใช้ความคิดจึงเข้าใจ

Read Full Post »

‘ตามวิธีคิดแบบเส้นตรงของพวกเราคงมองเห็นว่าถ้าเปลี่ยนแปลงอะไรเดี๋ยวนี้ มันย่อมส่งผลต่ออนาคต แต่เรากลับมองไม่ค่อยเห็นเท่าใดว่าการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอดีตด้วย กระนั้นก็ดี นี่คือความจริง เพราะอดีต ปัจจุบัน และอนาคตล้วนมิใช่อะไรอื่น หากเป็นแค่ทัศนะ ทุกอย่างรวมอยู่ในปัจจุบันขณะ อันที่จริง ที่เราสามารถเปลี่ยนอดีตได้ก็เพราะอดีตดำรงอยู่ตามที่เราเห็นมันเท่านั้นเอง ถ้าเราเห็นต่างไปจากเดิมมันก็เปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด…โดยทันที’

จาก ‘Infinite Circle’ โดย Bernie Glassman (อาจารย์เซนชาวอเมริกัน) : Teaching in Zen, Boston & London : Shambhala 2002 – บทแปลโดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จาก หนังสือ “ผ่านพ้นจึงค้นพบ แกะรอยจิตวิญญาณในงานเขียน spiritual history of a writer” โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

Read Full Post »

จาก หนังสือรวมข้อเขียนคัดสรรจากหน้าหนังสือพิมพ์เล่มสาม “โลกเปลี่ยนต้องเปลี่ยนโลก” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

………………………………………………………………………………………………………………………………………

วันนี้ผมต้องขออภัยผู้อ่าน เพราะจะเอ่ยถึงความในใจของตัวเองสักเล็กน้อย
ในบางวูบไหวของห้วงคำนึง ผมแทบไม่เชื่อเหมือนกันว่า บัดนี้เหตุการณ์ 14 ตุลาคมได้ผ่านมาถึง 22 ปีแล้ว…
แต่ผมต้องเชื่อ เพราะคนจำนวนมากหันมาเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ’16 ตุลา’ เรียกผู้นำนักศึกษาสมัยนั้นว่า อดีต ‘แอคทิวิสต์’ และส่วนที่สนใจจะเป็นสมาชิกสมทบของพิธีกรรมรำลึก ต่างก็พูดเขียนถึงประวัติศาสตร์หน้านี้ตามอารมณ์พอใจ
เรื่องราวอันใดก็ตาม ถ้าเริ่มถูกบันทึกด้วยภาษาและมุมมองที่ต่างจากยุคของมัน บางทีอาจต้องยอมรับว่าเก่าแก่ เรื่องราวอันใดก็ตาม ที่ผู้คนเริ่มเอ่ยอ้างถึงอย่างผิดๆถูกๆโดยไม่ต้องจ่ายราคา ก็นับว่ามิใช่ความจริงเบื้องหน้าอีกต่อไป
โลกเป็นเช่นนั้น และจริงๆก็น่าจะช่างมัน
แต่พูดก็พูดเถอะ แม้ผมจะเลิกทุกข์ร้อนเรื่อง 14 หรือ 16 ไปนานแล้ว กระทั่งยอมถูก ‘ตีความ’ ย้อนหลังไปต่างๆนานา ก็ยังมีบางครั้งที่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ผลกรรมเฉพาะตัวที่กรณี 14 ตุลาคมเจียดแบ่งมาให้ มันช่างไม่ยอมหมดเสียที
ถ้าผมในปัจจุบันนั่งลงสนทนากับตัวเองในอดีต…เราคงปรับทุกข์กันแบบนี้

ปัจจุบัน :ว่าไงพระเอก หายหน้าไปไหน สบายดีรึ…
อดีต :เรื่องสบายดีหรือเปล่า น้าอย่าถามดีกว่า บ้านเมืองเป็นยังงี้ จะให้ผมสบายอยู่ได้ไง
ปัจจุบัน :เฮ้ย… น้อยๆหน่อย บ้านเมืองไม่ใช่ของนายคนเดียว ทำไมต้องไปรับเหมาทำแทนทุกเรื่อง
อดีต :น้าเปลี่ยนไปเยอะนะ
ปัจจุบัน :ไม่ใช่เปลี่ยน เขาเรียกว่าเห็นโลกมากขึ้น เราต้องยอมรับความจริงว่าเรี่ยวแรงเราก็มีจำกัด คนคนเดียวจะไปทำอะไรได้นักหนา ทำดีที่สุดก็พอแล้ว
อดีต :ผมเข้าใจ คนแก่ก็คิดแบบนี้ทั้งนั้น แต่ถ้าคนหนุ่มสาวคิดแบบน้า โลกคงห่วยพิลึก
ปัจจุบัน :อะไรทำให้นายคิดว่าตัวเองแน่ขนาดนั้น รู้มั้ยว่าเอกภพอยู่มากว่าหมื่นล้านปี เฉพาะโลกใบนี้ก็อายุ 4,600 ล้านปีแล้ว นายอายุยังไม่ถึง 30 คิดหรือว่าจะเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ได้ในเวลาข้ามคืน
อดีต :บางสิ่งบางอย่างก็เปลี่ยนได้ในเวลาข้ามคืน เพราะเป็นจังหวะก้าวกระโดดของมัน อย่างวันที่ 14 ตุลาคม ก็แค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นไม่ใช่รึ น้าอย่าเอาปฏิทินจักรวาลมาเป็นข้อแก้ต่างเลย
ปัจจุบัน :โอเค ตรรกะนายแน่น แต่นายลืมไปอย่างว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้ก้าวกระโดดทุกวัน แล้วจังหวะที่นายเข้าไปมีส่วนร่วมมันเป็นเรื่องบังเอิญใช่มั้ย มันพอดีกันระหว่างความอยากของนายกับเงื่อนไขเอื้ออำนวย ส่วนคนที่เขาสู้มาก่อนล่ะ เขาอาจจะแน่กว่านายเยอะ แต่เขาก็แพ้ เกิดมาตายไปเงียบๆ ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่มาทีหลังเมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้สักนิด แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่…
อดีต :เอาละ ผมยอมรับว่า เงื่อนไขภววิสัยเป็นสิ่งจำเป็น อีกอย่างผมไม่เคยพูดว่า 14 ตุลาคม เกิดขึ้นเพราะตัวผมหรือใครคนใดคนหนึ่ง ผมเพียงแต่ไม่ชอบความคิดแบบช่างมัน ตัวเราก็เท่านี้… จึงชี้ให้น้าเห็นว่าโลกมันเปลี่ยนได้ และเรามีภารกิจที่จะต้องปรับปรุงโลก
ปัจจุบัน :ใช่ โลกเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าจังหวะที่เราใช้ชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้ มันยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนล่ะ รอบตัวมีแต่ความเฉื่อยเนือยเรื่องส่วนรวม คึกคักเรื่องส่วนตัว นายจะให้เราทำยังไง มิต้องทะเลาะกับคนทุกวันเรอะ
อดีต :สำหรับผม การต่อสู้มีความหมายที่สุด แพ้ชนะอีกเรื่องหนึ่ง ผมอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าต้องยอมจำนนไปทุกเรื่องต่อให้ยืนคนเดียวผมก็ต้องสู้
ปัจจุบัน :สั่งสมความพ่ายแพ้ไปเรื่อยๆ… มันจะมีความหมายอันใด บาดแผลในทางโลกมีราคาของมัน มิสู้ปลีกวิเวก ค้นคว้าจักรวาล
อดีต :บาดแผลเป็นอาภรณ์ของนักรบ เนื้อตัวเกลี้ยงเกลา ชีวิตช่างว่างเปล่า
ปัจจุบัน :อ้ัาฮ้า… มิน่า คนเขาถึงว่านายเป็นพวก ‘ วีรชนเอกชน ‘
อดีต :ผมได้ยินมาจนเบื่อแล้วละ แต่ข้อหาวีรชนเอกชนก็ยังดีกว่าทรชนรวมหมู่
ปัจจุบัน :มันไม่ใช่แค่นั้นสิ นายไม่เคยอยู่ในพ.ศ.นี้ นายยังไม่รู้ว่าคนเขามองโลกกันยังไง เขาบอกว่าพวกที่ทำตัวเป็นวีรบุรุษ ที่แท้ก็เพื่อซ่อนปมด้อย วีรชนที่แท้จริงตายแล้ว… พูดง่ายๆคือ นายเป็นคนลวงโลกเชียวหละในสายตาของคนจำนวนหนึ่ง
อดีต :ผมไม่เคยทำตัวเป็นวีรบุรุษ แต่ผมก็ไม่เคยลวงโลก มันไม่ใช่นิสัยของผม
ปัจจุบัน :แล้วเรื่องปมด้อย นายจะว่ายังไง
อดีต :ผมก็ครุ่นคิดอยู่เหมือนกันว่ามันจริงหรือเปล่าที่เขาว่ามาน่ะ แน่ละปมด้อยผมคงมีอยู่บ้าง เพราะผมเกิดมาจน มีวัยเด็กที่ต่ำต้อยน้อยหน้า นอกจากนี้ผมยังเป็นลูกคนที่ 3 ในครอบครัว บางครั้งคงกลัวว่าพ่อแม่รักพี่ๆน้องๆมากกว่า แต่ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้ผมมาต่อสู้เรื่องบ้านเมือง ผมมีทางเลือกเยอะแยะที่จะลบปมด้อยตัวเอง เช่นผมอาจจะตั้งตัวเป็นนักเลงแถวบ้านผมก็ได้ ตีรันฟันแทงกับคนมาตั้งแต่เด็กก็พอจะมีแวว หรือตอนมาเรียนที่ธรรมศาสตร์ผมอาจจะเรียนรวดเดียวถึงปริญญาเอกเลยก็ได้ ผมสอบชิงทุนได้หลายทุนตั้งแต่ก่อนปี 16 เป็นดอกเตอร์อายุไม่ถึง 30 สมัยนั้นโก้จะตาย แต่ผมก็ไม่เอา มิหนำซ้ำยังเคยทิ้งกระทั่งปริญญาตรี…มันน่าจะมีอะไรบางอย่างมากกว่าปมด้อย ที่ทำให้ผมหันไปพันพัวเรื่องบ้านเรื่องเมือง
ปัจจุบัน :นายคิดว่าไอ้บางอย่างนั้นมันคืออะไรล่ะ
อดีต :มันน่าจะเป็นความคิดความเชื่อ…ความรู้สึกบางอย่างที่ทนไม่ได้ เวลาเห็นคนถูกรังแกถูกเหยียดหยามหรือถูกทอดทิ้งให้จมปลักอยู่กับความยากจน
ปัจจุบัน :นั่นแหละปมด้อย เพราะนายเคยโดนรังแก โดนเหยียดหยามและเคยจนมาก่อน
อดีต :ถ้ายังงั้น มันผิดด้วยหรือที่ผมจะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้
ปัจจุบัน :จริงๆแล้วมันก็ไม่ผิดหรอก เพราะถ้าจะถือหลักนี้ ใครทำอะไรก็มีปมด้อยทั้งนั้นแหละ ทุกคนย่อมต้องมีอดีต มีวัยเด็ก มีปัญหาทางจิตใจติดมาบ้างไม่มากก็น้อย
อดีต :แล้วมันอะไรกันนักหนา ที่เที่ยวมาจิกตีผมเนี่ย
ปัจจุบัน :นายมีความผิดอยู่เรื่องหนึ่ง…
อดีต :ความผิดอะไรอีกล่ะ
ปัจจุบัน :ผิด ที่นายไม่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น เสือกอยู่มาจนทุกวันนี้ ทำให้เราเดือดร้อนไปด้วย…
อดีต :ผมผิดด้วยหรือที่ไม่ตาย ผมเกือบตายตั้งหลายครั้ง…เอาตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 14 ิตุลาฯ ผมก็มีโอกาสถูกยิงมากกว่าคนอีกหลายคน อยู่ในป่า ผมเคยถูกปืนใหญ่ปูพรม ถูกเฮลิคอปเตอร์ยิงกราด ตอนออกมาก็ถูกดักหน้าดักหลัง… ผมอาจจะโชคดีที่รอดมาได้ แต่มันเป็นความผิดด้วยหรือ
ปัจจุบัน :เอาละๆ ไม่ต้องฟูมฟายมาก มันไม่ใช่แค่ไม่ตาย แต่นายยังไปเรียนต่อเมืองนอก กลับมาพูด เขียนแสดงความคิดเห็นซึ่งส่วนใหญ่ไม่เหมือนคนในวงการ
อดีต :นั่นเป็เรื่องของน้าแล้ว ไม่ใช่ผม
ปัจจุบัน :เออจริง แต่มันก็เกี่ยวกับนายอยู่ดี เพราะเวลาคนเขาเถียงกับเราทีไร เขานึกถึงนายทุกที เขาต้องทำให้นายเป็นตัวตลกก่อน เหตุผลของเราจะได้มีน้ำหนักน้อยลง
อดีต :แล้วน้าไปเถียงกับเขาทำไม อายุป่านนี้แล้ว ดูซิ หนวดก็หงอกผมก็เริ่มหงอก ทำไมต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองอีก
ปัจจุบัน :ข้อนี้ เราควรเป็นคนพูด ไม่ใช่นาย
อดีต :ไม่รู้สิ ผมฟังน้ามากๆก็ชักท้อเหมือนกัน รู้งี้ไม่ไปยุ่งแม่งตั้งแต่แรกดีกว่า จำได้มั้ยตอนนั้น ฝ่ายปกครองเขาว่าพวกผมเป็นเด็กมีปัญหา ต่อมาก็ว่าเป็นพวกรับใช้ต่างชาติ…เดี๋ยวนี้…
ปัจจุบัน :เออ เออ เราก็โดนพอๆกับนายนั่นแหละ ปีกลายเป็นพวกอำนาจนิยมในธรรมศาสตร์ ปีนี้เป็นพวกเผด็จการพม่า เป็นนักวิชาการผู้ถดถอย ปีหน้ายังไม่รู้จะกลายเป็นตัวอะไรอีก
อดีต :ผมไปดีกว่า ฟังน้ามากๆแล้ว โลกมันมืดมนไปหมด
ปัจจุบัน :เดี๋ยวก่อนๆ จะรีบไปไหน
อดีต :ไปร่วมงาน 14 ตุลาคม…ทำบุญให้เพื่อนๆบ้าง
ปัจจุบัน :อย่า…อย่าไปเป็นอันขาด เขาไม่มีที่ให้นายนั่งหรอก นายไม่ได้อยู่ในรายชื่อของผู้เสียชีวิต ไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการจัดงาน ไม่ได้อยู่ในอะไรทั้งสิ้นในพ.ศ.นี้
อดีต :แล้วจะให้ผมไปไหน
ปัจจุบัน :ไปให้พ้นๆ ไม่ต้องรู้สึกผิด ไปทำอะไรตามใจชอบเสียบ้างจะได้เป็นตัวตลกน้อยลง…

ครับ ที่เขียนมาทั้งหมด ล้วนเป็นถ้อยคำที่ผมสมมติขึ้น แต่เมื่อหารแบ่งส่วนที่เป็นจินตนาการออกไปแล้ว ืก็คงต้องยอมรับว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
คนทั่วไปอาจจะลืมสงครามได้ กระทั่งบางด้านก็ควรลืม…
แต่สำหรับทหารผ่านศึกแล้ว ไฟสงครามยังคงลามต่อในใจ และจะไม่สิ้นสุดลงพร้อมสมรภูมิภายนอก
สันติภาพกับผู้อื่นสร้างได้ไม่ยาก แต่สันติภาพกับตัวเองกลับไม่ง่ายดายเพียงกัน

Read Full Post »

ช้าก่อน ไม่ใช่ท่าเพื่อกระทำการใดอย่างว่า แต่เป็นท่าบริหารเพื่อสุขภาพหลัง

เราท่านต่างใช้เวลานั่งวันละนานๆ ทำให้เกิดอาการปวดหลัง หลังแข็งได้ ในระยะยาวเสียหายต่อสุขภาพมาก จึงขอเสนอท่าบริหารเพื่อปรับสภาพหลังให้อยู่กับเราไปนานๆ

หลังของคนเรามีธรรมชาติที่ “ไม่ค่อยแข็งแรง” เปรียบคล้ายเสาวิทยุ สูงชลูด จำเป็นต้องมีลวดสลิงขึงไว้ทุกทิศ ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวา

คนเรามีระบบลวดสลิงที่ทำให้หลังแข็งแรงได้แก่ กล้ามเนื้อและเอ็นที่อยู่ล้อมรอบกระดูกสันหลังทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวาเช่นกัน

กล้ามเนื้อและเอ็นที่มีส่วนช่วยพยุง และประคับประคองกระดูกสันหลังไว้มากที่สุดได้แก่ โครงสร้างกล้ามเนื้อด้านหลัง (กล้ามเนื้อหลัง) และกล้ามเนื้อด้านหน้า (กล้ามเนื้อหน้าท้อง)

ปัญหาของโครงสร้างประคับประคองกระดูกสันหลังที่พบบ่อยมากๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ และกล้ามเนื้อหลังตึงหรือ “เส้นตึง” มากเกินไป

วิธีถนอมสุขภาพหลังที่สำคัญประกอบด้วยการยืน เดิน นั่ง นอนให้ถูกท่า โดยเน้นการอยู่ในท่า “เกือบตรง” ไม่งอ (ไปด้านหน้า) ไม่แอ่น (ไปด้านหลัง) และไม่เอียงซ้ายหรือเอียงขวา

ท่านอนที่ดีกับสุขภาพหลังมากๆ ได้แก่ ท่านอนตะแคง เข่ากอดหมอนนุ่มบางๆ และท่านอนหงาย มีหมอนนุ่มบางๆ หนุนรองเข่า

เพื่อโครงสร้างพยุงกระดูกสันหลังที่ดี อาศัยการฝึก 2 อย่างควบคู่กันได้แก่

(1). ยืดเส้น (stretching) > เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นไม่หดสั้น หรือมีความตึงตัวมากเกิน

(2). ต้านแรง (strengthening) > เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นแข็งแรง ทนต่อความลำบากตรากตรำได้มากขึ้น

ท่าที่ 1 > ท่ายืดเส้นส่วนหลัง ส่วนเอว

ท่านี้ให้เริ่มจากการนั่งขัดสมาธิ ยกแขนขึ้นเหนือหัว ค่อยๆ ก้มไปข้างหน้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ

  • เวลาทำต้องระวังอย่ากลั้นหายใจ ให้หายใจช้าๆ ถ้าหายใจออกจนหมดลมหายใจแล้ว ให้หายใจเข้า-ออกช้าๆ ไปเรื่อยๆ

 

ท่าที่ 2 > ท่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อหลัง

ช่วงแรกให้ลองยกแขนกับขาทีละข้างก่อน

  • เมื่อแข็งแรงมากขึ้นแล้ว ค่อยยกแขนและขา 2 ข้างขึ้นพร้อมกัน
  • เวลาฝึกให้หายใจเข้า-ออกช้าๆ อย่ากลั้นหายใจ

ท่าที่ 3 > ท่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง [ ไม่ได้แสดงภาพประกอบไว้ ]

  • ท่านี้เริ่มจากการนอนหงาย งอเข่าทั้ง 2 ข้าง
  • หลังจากนั้นให้ยกส่วนอกและส่วนหัวขึ้นช้าๆ เกร็งค้างไว้ (เหนือระดับพื้น และสูงหน่อยจึงจะดี)
  • เวลาฝึกอย่ากลั้นหายใจ ให้หายใจเข้า-ออกช้าๆ

หรือจะทำท่า “ซิท-อัพ (sit-up)” แทนก็ได้ ขอเพียงให้ทำ 2 แบบ (ถ้าชอบทำแบบเดียว ควรทำในท่างอเข่า เนื่องจากคนเรามักจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอมากกว่ากล้ามเนื้อหลัง)

(1). ซิท-อัพแบบงอเข่า เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง

(2). ซิท-อัพแบบเหยียดเข่า เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหลัง

ที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหนังสือ “ดูแลตัวเองด้วยกายภาพบำบัด ปวดหลัง” โดย อาจารย์ ผศ.ดร.มัณฑนา วงศ์ศิรินวรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด แห่งคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล

ข้อควรระวังก่อนทำกายบริหารที่มีการเกร็ง หรือออกกำลังสร้างความแข็งแรงได้แก่

(1). ต้องตรวจเช็คความดันเลือดเป็นประจำก่อนเสมอ

(2). ถ้าตรวจพบโรคความดันเลือดสูง ต้องรักษาให้ดีเสียก่อน และอย่าลืมปรึกษาหมอ เภสัชกร พยาบาล หรือหมออนามัยที่ดูแลท่านว่า จะออกกำลังแบบนี้ได้หรือไม่

(3). อย่ากลั้นหายใจ

  • การออกกำลังสร้างความแข็งแรงไปพร้อมกับการกลั้นหายใจอาจทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นมากจนเป็นอันตรายได้

ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/health2you/2008/10/12/entry-1

Read Full Post »

สำหรับเหตุการณ์ความสูญเสีย เมื่อวันที่ 7 ตุลา 51 ที่ผ่านมา สำหรับผมแล้วมันสร้างบาดแผลในใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการสุญเสียชีวิต และร่างกายของผู้คนมากมาย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ความสูญเสียเช่นนี้ไม่ควรบังเกิดขึ้นเลย ผมคิดว่าจะเขียนไว้อาลัยอยู่หลายวันแล้ว แต่พึ่งได้มาเขียนในวันนี้เอง ขอร่วมแสดงความอาลัย แด่ผู่สูญเสียทั้งหลายมา ณ ที่นี้

สดุดี แด่ผู้กล้า ท้าอำนาจ

ผู้ไม่อาจ ทนทาน ต่อความชั่ว

ผู้สร้างแสง ส่องโลก ที่มืดมัว

ผู้เอาตัว แลกธรรม ค้ำความดี

[by eKKeMan 12/10/08]

Read Full Post »

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอามาลงไว้ให้ชมกันเลยแล้วกัน พอเข้าไปดูก็เออ น่าดูชมทีเดียว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นๆจะเล่นแบบนี้อย่างเขาไปทำไม มันยากและดูน่าทึ่งก็จริง แต่มันเฉพาะตัวเกินไปหน่อยนะ เล่นอย่างไรก็เป็นได้เพียงรุ่นลูกศิษย์ของ Stanly เท่านั้น และตัวเขาเองก็ได้รับการยกย่องอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ผมว่า บางทีเหล่านี้มันดูกายกรรมมากกว่าเป็นมิวสิค สิ่งที่ได้รับการยกย่องจากนักดนตรีด้วยกันมักจะเป็นในเรื่องของมิวสิคมากกว่า

Read Full Post »

นนทรีย์ นิมิบุตร อ่านเจอเรื่องราวของดูหลำในหนังสือของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และหนังสือสารคดีอีกหลายเล่ม เลยคุยกับ เอก เอี่ยมชื่น ซึ่งตัวเอก เอี่ยมชื่น เองก็เคยอ่านเจอเรื่องนี้เหมือนกัน ทั้งคู่เลยคิดว่าอยากทำหนังที่มีความเกี่ยวข้องกับดูหลำ

ปีที่ 1 : 2546

-กลิ่นของปืนใหญ่ฯ เริ่มจากช่วงที่ถ่ายหนังเรื่อง โอเคเบตง นนทรีย์ นิมิบุตร และ เอก เอี่ยมชื่น ได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า สลัดตะรุเตา ที่เขียนโดย ปองพล อดิเรกสาร และนนทรีย์เกิดไอเดียอยากทำหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้คุยกันเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่

– ต่อมา เอก ไปค้นเจอหนังสือประวัติศาสตร์ พบความน่าสนใจของแคว้นที่มีราชินีปกครองถึง 4 องค์ เมื่ออ่านดูแล้วทำให้เห็นภาพที่คิดว่าเหมาะกับการนำมาใช้ในหนังมากกว่า สลัดตะรุเตา จึงส่งให้นนทรีย์อ่านต่อ และทั้งคู่จึงตัดสินใจเลือกใช้เนื้อหาประวัติศาสตร์เข้ามาสร้างเนื้อเรื่องแทน รวมถึงเอาไอเดียของ ดูหลำ เข้ามาร่วม และคิดว่าน่าจะเล่าออกมาในทางแฟนตาซี

-นนทรีย์นำไอเดียทั้งหมดส่งให้ วินทร์ เลียววาริณ เพื่อชักชวนมาเขียนบทภาพยนตร์ วินทร์ตอบตกลง จากนั้นก็มีการออกไปทำรีเสิร์ชเล็กๆเพื่อเป็นพล็อตของภาพยนตร์ขึ้นมา

-วินทร์ส่งพล็อตเรื่องประมาณ 20 แบบ ให้นนทรีย์เลือกทิศทางโดยรวมของหนัง เมื่อเลือกได้แล้ว ก็นำเนื้อเรื่องนั้นทำออกมาเป็นทรีตเม้นต์อีก 5 เวอร์ชัน จึงได้ทรีตเม้นต์ที่เสร็จสมบูรณ์

-ทีมออกแบบงานสร้างของ เอก และนนทรีย์  นำทรีตเม้นต์ที่ได้มาไปรีเสิร์ชเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รวมๆ ณ ขณะนั้นของตำแหน่งที่เป็นจุดเกิดของเนื้อเรื่อง รวมถึงบริเวณรอบๆโดยไล่ไปตั้งแต่บริเวณนครศรีธรรมราชลงไปจนถึงมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นรัฐมลายูดั้งเดิมในอดีตทั้งหมด แต่รัฐหลายๆแห่งในฝั่งไทยนั้นได้ล่มสลายไปแล้ว ในขณะที่ฝั่งมาเลเซียยังมีความต่อเนื่องของวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบัน ทีมค้นคว้าจึงต้องเดินทางไปยังห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ต่างๆในทุกรัฐของมาเลเซีย

ปีที่สอง : 2547

-เริ่มต้นออกหาคนร่วมลงทุนให้กับภาพยนตร์ เนื่องจากหนังตั้งใจจะทำออกมาเป็นไตรภาค เพราะในทางหนึ่งแล้วการสร้างหลายๆภาคจะทำให้การลงทุนในภาคแรกคุ้มค่า เพราะว่าจะสามารถนำฉากหรืออุปกรณ์ต่างๆมาใช้ต่อได้ เหมือนการลงทุนครั้งเดียว

-ในขณะที่วินทร์ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ ทีมออกแบบงานสร้างของเอกก็เริ่มทำรีเสิร์ชแบบลงลึกรายละเอียดต่างๆ โดยแบ่งทีมค้นคว้าตามหมวด เช่น หมวดสถาปัตยกรรม หมวดเสื้อผ้า หมวดเรือ หมวดอาวุธ ฯลฯ อย่างเสื้อผ้าก็ต้องค้นคว้าสำหรับตัวละครทุกชาติ หรืออย่างอาวุธมีด ดาบ กริช ก็ต้องมีตัวอย่างให้ดูเป็นร้อยๆพันๆแบบ กระบวนการนี้เกิดขึ้นภายใน 2 เดือน โดยทีมงานอีก 6 คนที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

-หลังจากบทภาพยนตร์เสร็จเรียบร้อย ทีมออกแบบก็เริ่มสร้างฉากม็อกอัพและโมเดลวังต่างๆเพื่อใช้ในการเตรียมงานก่อนออกไปถ่ายทำในสถานที่จริง

ปีที่ 3 : 2548

-เริ่มเตรียมอุปกรณ์ประกอบฉากและอุปกรณ์ต่างๆเนื่องจากของแต่ละอย่างมีรายละเอียดที่มากและต้องใช้เวลาทำนานมาก

-เมื่อสิ่งต่างๆพร้อม ก็ออกกองไปถ่ายทำ โดยมีโลเคชันหลักๆที่เกาะสีชัง(ฉากหมู๋บ้านชาวเล) , ระยอง(ฉากกำแพงเมืองและฉากเรือต่างๆ . พังงา(ถ้ำโจรสลัด) และสตูดิโอในกรุงเทพฯ(ฉากท้องพระโรง) สาเหตุที่เลือกใช้โลเคชันบริเวณภา

คตะวันออกเพราะว่าเกาะสีชังมีภูมิประเทศแปลกตา เป็นหน้าผา และที่ตัวเกาะเองก็สามารถใช้ได้เป็นหลายโลเคชัน

-ถ่ายไปได้ครึ่งเรื่อง ก็เริ่มส่งสิ่งที่ถ่ายไปแล้วไปให้ทีมทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิคจัดการล่วงหน้า

-ปิดกล้อง

ปีที่ 4-5 : 2549-2550

-เริ่มต้นขั้นโพสต์โปรดักชันอย่างเต็มตัว ใช้เวลาราว 8 เดือนในการทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิก หลังจากนั้นเข้าสู่กระบวนการตัดต่อ ทำเสียงและดนตรีประกอบ สำเร็จออกมาเป็นหนังเรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

10 ล้านบาท คืองบประมาณในการก่อกำแพงเมืองลังกาสุกะ

100 คน จำนวนแรงงานอันน้อยนิดที่ร่วมสร้างวังลังกาสุกะขนาดมหึมา

180 วินาที ที่อนันดาสามารถกลั้นหายใจดำน้ำได้ในช่วงที่ถ่ายหนังเรื่องนี้

200 ล้านบาท คืองบประมาณที่ทำให้ภาพและเสียงของ ปืนใหญ่จอมสลัด ในหัวของ นนทรีย์ กลายเป็นจริงต่อหน้าผู้ชม

200 วันกว่าๆ คือระยะเวลาที่ทำให้วังลังกาสุกะไม่เป็นเพียงแค่แบบแปลนบนกระดาษ

365 วัน ที่วินทร์ เลียววาริณ นั่งจมอยู่กลางภูเขาหนังสือและแฟ้มข้อมูลต่างๆเพื่อเนรมิตหลายล้านตัวอักษรออกมาเป็นบทภาพยนตร์

………………………………………………………………………………………………………………………………………

ข้อมูลทั้งหมดจากนิตยสาร a day special ฉบับ ปืนใหญ๋จอมสลัด

Read Full Post »

Older Posts »