Feeds:
Posts
Comments

Posts Tagged ‘บุคคล’

จากปองอีกแล้ว  รู้ว่า karen Carpenter เป็นนักร้องที่ไม่ต้องกล่าวอ้างอันใดอีก  รู้ว่าเธอเป็นมือกลอง  แต่ฝีมือกลองเธอนี่สิ  เพิ่งได้ดูก็คราวนี้….เธอ….สูงส่งเหลือเกิน

Read Full Post »

หนึ่งวันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่าน มิถุนายน ๒๐๐๙ หญิงสาวคนหนึ่งถูกยิงกลางถนนและเสียชีวิตระหว่างส่ง ร.พ. ในช่วงที่มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเรื่องการโกงการเลือกตั้ง  มีเสียงส่งต่อในทวิตเตอร์  ไม่นานภาพเธอนอนกระอักเลือดก็ถูกส่งอัพโหลดขึ้นยูทูป

สื่อใหญ่รีบกระโดดลงมาเล่นข่าวเธอ เงี่ยหูฟังเสียงจากยูทูป   ใช่… เธอ ชื่อ เนดา  ไม่นานนักก็ได้นามสกุลเธอจากเสียงเล่าอ้างในอินเตอร์เน็ต  เนดา โซลตานิ   สื่อไล่ล่าจนเจอชื่อเธอในเฟซบุ๊ก  และนำรูปในโปรไฟล์มาเผยแพร่ยืนยันผ่านเครือข่ายออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ CNN CBS BBC ZDF และ ARD ว่านี่คือคนที่ได้รับขนานนามจากฝ่ายต่อต้านว่า “นางฟ้าแห่งอิหร่าน” และกลายเป็นรูปที่ผู้ประท้วงขยายถือเดินตามท้องถนน

…แต่ผู้ตายคือ เนดา อักกา-โซลตัล ไม่ใช่ โซลตานิ

เนดา โซลตานิ   พยายามแก้ข่าว โดยส่งจดหมายต่อสถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ออฟ อเมริกา พร้อมแนบรูปถ่ายเพื่อเปรียบเทียบ  แต่กลับกลายเป็นถูกเสนอข่าวว่า เนดาที่เสียชีวิตอีกรอบ  เธอรีบดึงรูปออกจากเฟซบุ๊ก  แต่ก็กลายเป็นว่าเป็นการแทรกแซงจากรัฐบาล    เพื่อนๆของเธอพยายามแก้ข่าวตามเว็บบอร์ดต่างๆ แต่ก็ถูกด่าทอว่ามีเจตนาทำลายภาพนางฟ้าของอิหร่าน

เนดา ถูกกดดัน  รัฐบาลอิหร่านใช้เรื่องนี้โจมตีฝ่ายค้านว่าเป็นเครื่องมือส่งข่าวลือจากประเทศตะวันตก  ….เธอล้มป่วย  ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง  บ้านเกิด  ครอบครัว  เพื่อนฝูง  อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยที่บากบั่นมาร่วมสิบปี เอาเงินสะสมทั้งชีวิตขอลี้ภัยเข้าประเทศเยอรมนีด้วยกระเป๋าสะพาย ๑ ใบ อายุ ๓๒ ปี

ปัจจุบันเธอพักในห้องพักเล็กๆ ที่มีเตียง ๒ หลัง กับ ชั้นวางของ ๑ ตัวในบ้านพักผู้ขอลี้ภัยระหว่างรอการพิจรณาเอกสารให้เข้าเมืองในฐานะผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการมา ๖ เดือนแล้ว ได้เบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลเยอรมนีเดือนละ ๑๘๐ ยูโร ไม่พอกระทั่งใช้ซื้อผักหรือผลไม้ประทังชีวิต

เมื่อสื่อใหญ่รู้ความจริง  ก็ออกมากล่าวแก้ตัวคนละคำสองคำ

BBC  – กรณีของ เนดา โซลตานิ    แสดงให้เห็นว่าการใช้รูปถ่ายจากชุมชนออนไลน์เป็นอันตรายต่อสื่อมากขนาดไหน

ส่วน CNN มีการนำภาพของเธอมาใช้อีกครั้งในสกู๊ปเกี่ยวกับประเทศอิหร่าน  เมื่อมีคนส่งอีเมลเข้าไปเพื่อขอให้เอารูปของเธอออก  ก็ได้อีเมลอัตโนมัติตอบกลับว่า   ทางสถานีไม่สามารถตอบอีเมลทุกฉบับได้  เนื่องจากจำนวนอีเมลที่ส่งมามากมาย  ลงท้ายอีเมลด้วยสโลแกนของสถานี

CNN, The Most Trusted Name In News.

ทั้งภาพและวีดีโอคลิปดูรุนแรงเกินจำเป็น  รุนแรงขนาดที่ถูกเอาออกไปแล้ว  ก็เป็นข้อมูลเรื่องราวเฉยๆแล้วกันเนาะ

…………………………………………………………………………………………………………………………..

ย่อความ และ ข้อมูลจาก “a day” ฉบับ ๑๐๖ คอลัมน์ Oversee เรียบเรียงโดย อธิยา มัญชุนากร กาบูล็อง ที่มาของคอลัมน์จาก Courrier International No.1007

Read Full Post »

“คำสาบฟาโรห์ตุตันคาเมน” เป็นผลงานของนักข่าว หนังสือพิมพ์ เดลี่ย์ เอ็กเพลส ประจำ กรุงไคโร (ถูกเผยแพร่ซ้ำโดย เดลี่ย์ เมล์ และ เดอะ นิวยอร์กไทมส์)

“พวกมันที่เข้ามายังสุสานศักสิทธิ์นี้ จะถูกปีกแห่งความตายมาเยือนโดยพลัน” ข้อความนี้ไม่มีจารึกอยู่จริง มีเพียง

“ข้าเองคือผู้คอยขัดขวางทรายมิให้กลืนกินห้องแห่งความลับ  ข้าสถิตย์อยู่เพื่อปกป้องผู้ที่ไร้ลมหวยใจนั้น” บนแท่นบูชาถวายเทพอานูบิส

Howard_carter

ก่อนการสำรวจของ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ ในปี ๑๙๒๒ จะเริ่มต้น เซอร์ อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ ได้ส่งผ่าน คำสาปดังกล่าวเอาไว้ในสื่อแล้ว

เมื่อ ลอร์ด คอนาวอน ผู้สนับสนุน คาร์เตอร์ เสียชีวิตจากเชื้อที่มาจากยุงในไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่สุสานถูกเปิด  มารี คอเรลลี่ นักเขียนชื่อดัง ที่เขาว่าพอๆกับ แดน บราวน์ ในยุคนี้  ออกมาบอกว่าเธอได้เตือนเขาแล้ว  นั่นจึงได้ช่วยส่งให้คำสาปนี้ฝังลึกลงไปอีก

ตกลงว่า ไม่มีคำสาปใดๆถูกพบในสุสานอียิปต์โบราณ  คำสาปที่พูดกันนั้นเอามาจากงานเขียนที่เขียนขึ้นเกือบร้อยปีก่อนหน้านั้น ของนักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษ เจน เลาดอน เว็บบ์ เรื่อง The Mummy ว่าด้วยเรื่องการฟื้นคืนของมัมมี่เพื่อแก้แค้นผู้บุกรุกสถานที่ศักสิทธิ์  ซึงเกิดมาจากจินตนาการล้วนๆ

……………………………………………………………………………………………………………………………………………

ตั้งแต่ ๔๐๐ ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา  แทบจะไม่มีใครที่ไหนเชื่อว่าโลกแบนเลย  ความเชื่อว่าโลกแบนน่าจะมีขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ ๑๙ นี่แหละ  หนังสือกึ่งนวนิยายของ วอชิงตัน เออร์วิง ชื่อ The Life and Voyages of  Chistopher Columbus ตีพิมพ์เมื่อปี ๑๘๒๘ หนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลผิดๆ

Irving-Washington

ว่าการเดินทางของโคลัมบัสนั้นทำไปเพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลม ทั้งที่โคลัมบัสไม่เคยบอกว่าโลกกลม เขาคิดว่ามันมีรูปทรงเหมือนลูกแพร์  การเดินทางในปี ๑๔๙๒ ของเขานั้นก็ไม่ได้มีเจตนาค้นหาทวีปใหม่ด้วย  เขาแค่ต้องการพิสูจน์ว่าทวีปเอเชียอยู่ใกล้กว่าที่ใครๆคิด

ความคิดว่าโลกแบนถูกเสนอจริงจังครั้งแรกเมื่อ ๑๘๒๘ โดยชาวอังกฤษเพี้ยนๆชื่อ ซามูเอล เบอร์ลี โรว์บอตแธม ซึ่งตีพิมพ์บทความหนา ๑๖ หน้าที่ชื่อว่า “Zetetic Astronomy : A Description of Several Experiments Which Prove That the Surface of the Sea Is a Perfect Plane and That the Earth Is Not a Globe” เพื่ออธิบายหลักฐานต่างๆที่พิสูจน์ว่าพื้นผิวทะเลนั้นราบเป็นระนาบอย่างสมบูรณ์และโลกไม่ได้เป็นทรงกลม

…………………………………………………………………………………………………………………………………………….

แอนโตนิโอ เมอุคซี่ นักประดิษฐ์ชาวฟลอเรนซ์ อิตาลี่ เดินทางมาถึงอเมริกาเมื่อปี ๑๘๕๐ และในปี ๑๘๖๐ เขาได้นำเครื่องต้นแบบของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เขาเรียกว่า เทเลโทรโฟโน (Teletrofono)  ออกแสดงเป็นครั้งแรก  และได้ยื่นจดสิทธิบัตรชั่วคราวในปี ๑๘๗๑ ก่อนหน้าการจดสิทธิบัตรโทรศัพท์ของ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์ ๕ ปี

Antonio_Meucci

เมอุุคซี่ ล้มป่วยลงจากการได้รับอุบัติเหตุหม้อต้มไอน้ำของเรือข้ามเกาะสเตเทนระเบิด  ทำให้เขาต้องประทังชีพด้วยเงินบริจาค  เขาจึงไม่มีเงิน ๑๐ ดอลล่าร์สำหรับยื่นต่อสิทธิบัตรชั่วคราวในปี ๑๘๗๔

เมื่อเบลล์จดสิทธิบัตรโทรศัพท์ในปี ๑๘๗๖ เมอุคซี่ยื่นเรื่องฟ้องร้อง  เขาส่งภาพร่างและเครื่องต้นแบบไปที่ห้องทดลองเวสต์เทิร์น

Alexander_Graham_Bell

ยูเนี่ยน แต่บังเอิญเบลล์ทำงานอยู่ที่ห้องทดลองนั้นพอดี  ทุกอย่างจึงอันตรธานไปอย่างเป็นปริศนา

ขณะที่ข้อพิพาทยังค้างคาอยู่ เมอุคซี่ ก็เสียชีวิตในปี ๑๘๘๙  ส่งผลให้เบลล์เป็นผู้ได้รับการยกย่องในงานประดิษฐ์ดังกล่าวไปทั้งหมด

ในปี ๒๐๐๔ สภาผู้แทนฯ ของสหรัฐ ได้ร่วมผ่านมติว่า “ชีวิตและความสำเร็จของ เมอุคซี่ ควรได้รับการยกย่อง และผลงานการประดิษฐ์โทรศัพท์ของเขาก็สมควรได้รับการยกย่องเช่นกัน”

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

ยุบความ ย่อความ จากหนังสือ “ลบเหลี่ยมไอน์สไตน์” แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ จาก “The Book of General Ignorance” โดย John Lloyd & John Mitchinson

รูปภาพจาก wikipedia

Read Full Post »

นางพิมพ์ชนา ภูวพงษ์พิทักษ์ ภรรยาของผกก.สมเพียร กล่าวภายหลังพิธีรดน้ำศพด้วยน้ำตาที่นองหน้าว่า ภูมิใจที่ผู้กำกับสมเพียรได้ทำหน้าที่จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่เสียใจตรงที่ไม่ได้ย้ายไป ถ้าได้ย้ายก็คงไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้
ตน เองรู้สึกผิดหวังกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก เพราะว่าสามีเป็นคนทำงาน คนแข็งแกร่ง ไม่เคยขออะไรเลยจากกรมตำรวจ ซึ่งการเดินทางไปร้องเรียนเรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการโยกย้ายก็ ล้าเต็มทีแล้ว จึงได้บากหน้าไปขอความอนุเคราะห์ ขอความเห็นใจที่จะขอย้าย
ผู้ กำกับสมเพียร มีอายุ 59 ปี 4 เดือน เดือนพฤศจิกายนนี้ ก็จะครบ 60 ปี ก็เป็นคนแก่คนหนึ่ง ที่มีความต้องการที่จะอยู่กับครอบครัวและลูกหลานในบั้นปลายของชีวิตเท่านั้น เพราะสามีเหนื่อยมามากแล้ว ทำงานมากว่า 39 ปี เขารักในการเป็นตำรวจ และเคยพูดเสมอว่า จะไม่ขอตายในเครื่องแบบ แต่วันนี้เขาได้ลืมคำพูดคำนี้ไปแล้ว เมื่อก่อนเคยปะทะกับคนร้าย อาการสาหัส และตอนนั้นสามีอยากจะไปอยู่ที่สบายๆ แถวภาคอีสานหรือภาคเหนือไปเลย แต่พอเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ สามีกลับไม่ขอไปที่อื่น แต่จะขอมาอยู่ที่อ.บันนังสตา เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกโจรฆ่าตายรายวัน หลังจากที่สามีมาอยู่ที่สภ.บันนังสตาวันแรก สามีถึงกับสงสารตำรวจที่โรงพัก เพราะบริเวณโดยรอบมีแต่รั้วลาดหนามเต็มไปหมด
เมื่อสามีมาอยู่ ก็ได้สั่งให้รื้อลวดหนามออก และบอกกับลูกน้องทุกคนว่า เราคือผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ จะไปกลัวทำไมกับโจร หากเรากลัวแล้วชาวบ้านจะอยู่กันอย่างไร และจะเชื่อมั่นตำรวจได้อย่างไร
นาง พิมพ์ชนา กล่าวอีกว่า สามีได้พูดเสมอว่า ก่อนที่จะเกษียณราชการ เขาอยากจะขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ ชีวิตของสามีเมื่ออยู่บ้าน ก็เหมือนกับตาแก่คนหนึ่ง ที่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน เป็นคนใจดีมาก ไม่ว่ากับที่บ้านหรือลูกน้อง แต่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ไม่กลัวใคร ชีวิตในครอบครัวไม่มีวันปีใหม่ ไม่มีวันสงกรานต์ หรือเทศกาลสำคัญใดๆ เพราะสามีบอกว่าจะต้องไปอยู่โรงพัก เตรียมความพร้อมและดูแลลูกน้อง ส่วนผู้เป็นภรรยาต้องมีความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกกับสามีว่า “พ่อผิดคำพูดที่พ่อบอกว่า พ่อไม่อยากจะตายในเครื่องแบบ” และเมื่อเกษียณไปแล้ว อยากจะไปนั่งร้านน้ำชา นินทาเพื่อน อยากจะอยู่ด้วยกันสักครั้ง แบบครอบครัวที่มีทั้งพ่อแม่ลูกและหลานๆ ในปีสุดท้าย แต่ชีวิตก็กลับมาเป็นอย่างนี้ไปได้ ก็เพราะทางผู้บังคับบัญชาไม่ให้ย้าย – (มติชนออนไลน์)

เมื่อคืนดูคำสัมภาษณ์ภรรยาท่านอย่างสะเทือนความรู้สึก

ไว้อาลัยและเชิดชูครับ  บุคคลากรของประเทศ

ขออนุญาตคิดถึงเพลงนี้อีกครั้ง

Read Full Post »

Confucius – (คันฟิว’เชิส) n. ขงจื้อ (5-6ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช) -Confucian n.,adj. – Hope

ตอนที่ดูจบไม่ถึงกับอิ่มเอิบเหมือนครั้ง Hero แต่ก็พึงพอใจในระดับสูงทีเดียว  งาน Fx(เอฟเฟ็กค์) เนียนแค่ประมาณนึง ก็ดีที่ไม่เน้นมันมากนัก

บทพูดนี่สิ  เด็ดขาดนัก  เด็ดขาดขนาดที่อยากรู้เลยทีเดียวว่าถ้าเป็นภาษาของเขาจะลึกซึ้งขนาดไหน   บทโต้ตอบนี่กลับมาคิดตีความเอาเรื่องทีเดียว

สะท้อนสังคมการเมืองดีอยู่  อดนึกถึง โยน ออฟ อาร์ค หรือ เบลฟ ฮาร์ท ไม่ได้  แม้จะไม่ได้หดหู่เท่า  แต่เหมือนจะทำให้พึงรับรู้บางอย่าง

ค่อนข้างมั่นใจว่าจะถูกจริตกับเพื่อนๆที่ซึมซาบปรัชญา  มันเยอะพอที่ผมจะดูได้อีกรอบ  แต่ถ้าเอาแอ๊กชั่น ก็ต้องว่าจืดไปหน่อย

ก่อนหน้าหนึ่งวัน  เพิ่งดู 2012 ในรถตู้  โอย…หากไม่นับโปรดักชั่นอลังการด้วยเงินทุนมหาศาลแล้ว  ใกล้เคียงคำว่ากระจอกทีเดียว  ถ้าไม่มีฉากพวกนั้นให้เราดู  หนังก็ไม่เหลืออะไรแล้ว  กลวงสิ้นดี  วางหมากไว้หน่อยว่า ให้คนแก้ปัญหาเป็นคนดำ  อุตส่าห์ตั้งชื่อลูกพระเอกที่ไปช่วยไขปมสุดท้ายว่า “โนอาร์”  มุกอย่างนี้ส่วนตัวเบื่อหน่าย  และออกจะเพ้อเจ้อเสียแล้ว

ชื่นชมอยู่ในประเด็นที่ว่า  จะจำกัดคนที่อยู่รอด  หรือเปิดให้เสรี  เป็นปมที่เอาไปคิดต่อได้  แต่ก็คงไม่น่าจะมีคำตอบ  ทางใครก็ของใคร

กลับมาที่ตัวหนัง  ตัดเร็วไปอยู่บ้างด้วยตัวละครที่หลากหลาย  เอา…ขอสักนิด  แนะนำตัวละครนี่  ไม่ต้องเป็นเสียงพูดน่าจะดีกว่า  ขึ้นเป็นอักษรก็น่าจะเพียงพอต่อการจดจำ  ดีไม่ดีจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ  นี่เอาเสียงแนะนำตัวละครซ้อนกัยเสียงบทพูดมันก็มึนนะสิ  อันนี้ไม่ดีๆ  ปรับแก้เถิด

ยอมรับว่าหนังตัดเร็วไวในบางช่วงจนมึนงงกับชื่อตัวละคร  เอ…หรือว่าผมอาจจะแก่ไปแล้วก็ได้นะ  ดูจบนี่จำชื่อตัวละครได้น้อยมากๆ  สับสนกันการเล่าเรื่องอยู่บ้างเหมือนกัน

พยายามสรุปนะ….ผมบอกคุณแฟนว่า  อยากให้คนไทยดูหนังเรื่องนี้กันเยอะๆ  แง่บวกมันเด่นมากๆ  เรื่องคุณธรรมเขาก็นำเสนอได้ไม่ไกลจากความเป็นจริงจนเกินไป  มีทั้งตัวละครที่ตั้งใจบอกว่าเลว  ตั้งใจบอกว่าดี  ที่เจ๋งก็คือมีตัวละครที่วางไว้ตำแหน่งกึ่งกลาง  ตำแหน่งที่เรา(ผม) ไม่กล้าตัดสินใจ  ไม่กล้าตีความ  แล้วมีมากกว่าหนึ่งตัวเสียด้วยสิ  อันนี้ส่วนตัวว่าเจ๋งว่ะ

วันนี้ได้พูดคุยกับพรรคพวกอื่นๆ  ก็มีคนว่า เฮ้ย…พี่โจว  แม่งไม่ใช่ว่ะ  คนจะเป็นขงจื๊อต้อง…..  แต่แกยังไม่ได้ดูนะ

อือ….ผมขอว่าตามความคิด  เราโตมากับพี่โจวเป็นมาเฟีย  เป็นเจ้าพ่อ  ฯลฯ แต่ก็ประมาณนี้แหละ  จริงๆแล้ว  แกเล่นเป็นมาสเตอร์มากว่าสิบปีแล้วนะ เราควรละทิ้งบางอย่างไปบ้างหรือเปล่า

พึ่งรู้สึกว่าพี่แกเป็นหนึ่งในคนที่นึกออกว่าทำท่าคำนับแบบจีนโบราณได้สวยงามที่สุดที่เคยเห็น

พึ่งรู้สึกว่าพี่แกเป็นหนึ่งในคนที่มีสายตาที่มุ่งมั่นอย่างยิ่ง  ที่สำคัญ  มันอยู่บนรอยยิ้ม  รอยหัวเราะที่อบอุ่นว่ะ

เมื่อก่อนจากหนังหลายๆเรื่องดูก็โอเค  ไม่ได้คิดอะไรมากมาย  เข้าใจว่าเป็นเพราะวัยเพราะมาร์เก็ตติ๊ง  เออ…มันมีอะไรเหมือนกันเนาะ  อันนี้ถ้ากรูคิดไม่ผิด

หนังไม่สุด  ไม่ยิ่งใหญ่  อย่างที่คิด  แต่สุดอยู่ในอารมณ์ที่น่าจะเฉพาะกลุ่ม  ถ้าเทียบกับสามก๊ก Red Cliff ก็ต้องถือว่า  เรื่องนี้มีด้านกว้างน้อยกว่า  มีไคลแม็กซ์ ตรงไหนว่ะ แต่มีด้านลึกที่ตีความได้ไม่รู้จบ หรืออาจจะแปลว่าตีความไม่ได้ก็ได้  และไคลแม็กซ์อยู่ที่ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วหละ

ส่วนผม  ประโยคที่จำได้สุดๆ  ไม่เล่าสถานการณ์นะ

“ข้าฯ ยังไม่เคยเจอใครที่คิดถึงเรื่องจริยฯ ก่อนเรื่องตัณหาเลย”

ออกตัวโคตรๆ  ว่าอคติ มีใจให้หนังตะวันออกที่ทำได้โอเคอยู่เยอะนะ  ก็เป็นปรัชญาที่เราเก็ทนี่หน่า  ไม่ว่ากันเนาะ (อคติไม่ได้แปลว่าบวกหรือลบนะ  มันหมายถึงเอนเอียง)

สรุปอีกครั้ง  ชักชวนให้ดูครับผม  เพื่อนๆ  รับรองถกกันได้อีกพักใหญ่ๆ  สนุกๆ

(อคติในธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้วางไว้ ที่ทำให้จิตเกิดมีความลำเอียงนั้น มีอยู่ 4 ข้อด้วยกัน คือ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005427.htm )


Read Full Post »

เมื่อคืนนั่งดูฟุตบอลไทยเสมอจอร์แดนด้วยความหงุดหงิดหัวใจ แต่ทำให้นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

กิจกรรมดีๆ ปลายปีที่ผมชอบทำอย่างหนึ่งคือการได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่สรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดปี เพื่อเป็นการทบทวนเรื่องที่น่าสนใจโดยที่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อื่นใดนอกจากความบันเทิงเล็กน้อยเท่านั้น ปีนี้ผมไม่มีเวลาอ่านมากเท่าปีก่อนๆ เนื่องจากเจ้าตัวเล็กเติบโตขึ้นกลายเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วที่ต้องใช้เวลาดูแลระแวดระวังกันพอสมควร

ในบรรดาไม่กี่เรื่องที่ได้อ่านผ่านตา มีอยู่เรื่องหนึ่งจากโพสต์ทูเดย์ที่สะดุดใจ คือเรื่องฮีโร่ของชาวแฟลตดินแดงที่โพสต์ทูเดย์ยกให้เป็นบุคคลแห่งปี 2552 เขาคือมนุษย์ค้างคาวผู้ปรากฏกายออกมากอบกู้สถานการณ์ในช่วงวันสงกรานต์ ปกติผมไม่นิยมลอกบทความยาวๆ มาทั้งดุ้น แต่กรณีนี้คงขอยกเว้น เพราะบทความครอบคลุมได้สมบูรณ์ดี เลยตัดตอนมาให้อ่านยาวๆ

“…พิจิต เชื้อแก้ว หนุ่มชาวแฟลตดินแดง นอนไม่หลับมาตั้งแต่เช้ามืดจากเสียงปืนนับพันนับหมื่นนัดที่เจ้าหน้าที่ยิงขึ้นฟ้าเพื่อสลายการชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง

เจ้าหน้าที่สามารถเคลียร์การจลาจลจุดนั้น แต่อันตรายกลับเข้าใกล้ตัวเขามากกว่า ถึงขั้นมาเยือนหน้าบ้านต่อหน้าชุมชนของพวกเขา

พิจิต หรือ แตงโม ชื่อที่ประชาชนชาวแฟลตมักคุ้นกว่า เหลือบมองไปที่ชุดแบทแมน หนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่จากการ์ตูนและภาพยนตร์ซึ่งเขาคลั่งไคล้…

แล้วก็ถึงเวลาที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องมึนงงและขำขันกับภาพที่เสนอผ่านจอโทรทัศน์

ชายหนุ่มในเครื่องแบบแบทแมนเต็มยศกระโดดลงบนพื้นถนน พื้นที่แห่งความตึงเครียด

เงาร่างสีดำ มือข้างหนึ่งถือกล้องถ่ายวิดีโอ อีกมือหนึ่งชูกำปั้นทำท่าเหมือนจะบิน วิ่งอย่างทะมัดทะแมงไปที่กลุ่มเจ้าหน้าที่สลับกับวิ่งไปยังกลุ่มนปช. ที่ควบคุมรถบรรทุกแก๊ส

ผู้คนเริ่มส่งเสียงหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่และกลุ่มคนที่ข่มขู่ว่าจะระเบิดรถบรรทุกแก๊ส

ไม่เพียงเท่านั้น แบทแมนยังกระโดดขึ้นเกาะประตูรถบรรทุกแก๊ส ส่ายกล้องและสายตาบันทึกเหตุการณ์ภายในรถก่อนวิ่งกลับมาทางเจ้าหน้าที่

บรรยากาศเริ่มคลี่คลาย

นาทีถัดมา รถบรรทุกน้ำของฝ่ายเจ้าหน้าที่เคลื่อนเข้าไปยังที่ตั้งของรถบรรทุกแก๊สอย่างช้า โดยมีเงาร่างสีดำกระโจนขึ้นเกาะรถบรรทุกน้ำ มือข้างหนึ่งถือกล้องถ่ายวิดีโอ อีกมือหนึ่งชูกำปั้นทำท่าเหมือนจะบิน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้คน

ท่ามกลางความมึนงงของทุกสายตา…ท่ามันจะบ้า

ในเสี้ยวนาทีที่ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในอาการตะลึงงัน ทันใดนั้นรถแก๊สเจ้าปัญหาก็ถูกสตาร์ตเครื่องและค่อยๆ ถอยออกจากจุดเกิดเหตุ กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มแตกฮือ เปิดช่องให้ทหารเข้าสลายการชุมนุมโดยสะดวกจนกระทั่งคลี่คลายสถานการณ์ได้ในที่สุด…”

ในชีวิตจริงผู้คนรอบข้างเขายืนยันว่าเขาไม่ได้บ้า เป็นคนทำมาหากินปกติแบบเราๆ นักข่าวทราบเพียงว่าเขาเป็นเซลส์แมนขายทอล์คกิ้งดิกชันนารี่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ช่วงค่ำๆ จะชอบลงมานั่งดื่มที่ร้านลาบใต้ถุนแฟลต แล้วก็ฟังหมอลำซิ่งจากตู้เพลง นอกจากนั้นแตงโมเป็นนักวิ่งปอดเหล็กฝีเท้าดี แล้วก็เป็นคนที่เสพติดการวิ่งเพื่อสุขภาพที่ชอบลงแข่งตามงานต่างๆ อยู่เป็นประจำ บางครั้งไม่มีเงินสมัครก็ขอฝ่ายจัดให้ได้แต่งชุดแบทแมนไปร่วมวิ่งเป็นสีสัน งานกรุงเทพมาราธอนเมื่อสองเดือนก่อนผมก็เห็นคนในชุดแบทแมนอยู่แว้บๆ เพียงแต่ไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นคนเดียวกับบุคคลในข่าวใหญ่เมื่อช่วงสงกรานต์

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาลงวิ่ง “ฟูลมาราธอน” ในชุดแบทแมนนี่แหละ

รูปจาก http://www.patrunning.info/show.php?Category=board&No=116586

ตอนนี้คนส่วนใหญ่คงลืมเขาไปหมดแล้ว และดูเหมือนพี่แกก็พอใจให้เป็นอย่างนั้นด้วย ตอนท้ายของบทความเล่าว่าแตงโมย้ายออกจากแฟลตดินแดงไปสองสามเดือนแล้ว ไปไหนไม่มีใครทราบ แต่แม่ค้าส้มตำคนหนึ่งเล่าให้นักข่าวฟังว่าเมื่อเร็วๆ นี้แตงโมควบมอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลับมาเชียร์ฟุตบอลไทยชุดซีเกมส์ที่ใต้ถุนแฟลต

เสียดาย วีรบุรุษในชุดแบทแมนไม่อาจช่วยกอบกู้ฟอร์มทีมชาติไทยในช่วงนี้ได้เลย

*ข้อมูลส่วนใหญ่คัดลอก และสรุปจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันพุธที่ 30 ธันวาคม 2552

Read Full Post »

สาวน้อยวัย ๑๕ จาก มอนทรีออล แคนาดา (เกิด ๑๘ ก.พ. ๒๕๓๗) เธอมีผลงานมากมาย ทั้งคอนเสิร์ทและบันทึกเสียง

ดูความสามารถสาวน้อยคนนี้กัน

Read Full Post »

การออกไปสำรวจเส้นทางแต่ละครั้งมักจะได้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่คาดคิดเสมอ เรื่องที่ติดค้างไว้วันก่อนเป็นเรื่องของคนคนหนึ่งที่ผมมีโอกาสเข้าไปรับรู้ระหว่างการสำรวจเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ในตัวเมืองนครราชสีมา

พื้นที่แถบโคราชเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลังกันมาก หลังจากย้ายถิ่นฐานมาอยู่โคราชเป็นเวลานาน คุณทศพล ตันติวงษ์ เริ่มเล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลัง ก็เลยไปกู้เงินมาลงทุนทำโรงงานแปรรูปมันสำปะหลังไปพร้อมๆ กับอาศัยพื้นความรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกลเล็กๆ น้อยๆ และเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทำแป้งมันโดยเริ่มจากศูนย์ โรงงานสงวนวงษ์จึงถือกำเนิดขึ้นบนพื้นที่ 50 ไร่จากน้ำพักน้ำแรง จากสองมือเปล่าและความเชื่อมั่นในตัวเองล้วนๆ ว่าจะต้องทำได้
เรื่องทำนองนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับผม เราคงได้ยินเรื่องราวการต่อสู้ของคนที่ประสบความสำเร็จไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่มันเป็นวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจและสังคมของชายคนนี้ที่น่าสนใจมากๆ

โคราชเป็นตลาดใหญ่ของมันสำปะหลัง โรงงานมันสำปะหลังในโคราชปัจจุบันมีอยู่ 20 กว่าโรง โรงงานสงวนวงษ์เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด มีเกษตรกรนำมันสำปะหลังมาขายวันละ 3,000 – 4,000 ตัน ซึ่งนำไปผลิตเป็นแป้งมันได้วันละ 1,000 ตัน เดิมทีโรงงานผลิตได้ไม่มากเท่านี้ และต้องจ่ายค่าขนส่งให้เกษตรกรจากพื้นที่ไกลๆ ในราคาที่สูงกว่าโรงงานรอบนอกเพื่อจูงใจให้เกษตรกรยอมขนมันเข้ามาขายถึงในโคราช

เกษตรกรในพื้นที่มีปัญหาเรื่องที่ทำกินเหมือนๆ กับทุกๆ ที่ในเมืองไทย เมื่อมีพื้นที่อยู่จำกัด ผลิตผลและรายได้ก็เลยถูกจำกัดไปตามนั้น ในความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของจุดเริ่มต้นของซัพพลายเชน คุณทศพลกลับมองอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเพิ่มผลผลิตจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก คุณทศพลหันไปปรึกษากับนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ซึ่งคุณทศพลเป็นหนึ่งในกรรมการสภามหาวิทยาลัย) เพื่อทดลองทำปุ๋ยชีวภาพ นำเอาหินฝุ่นที่เป็นวัสดุในพื้นที่อำเภอปากช่องมาปรับสภาพดิน ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่จากเดิม 3 ตันต่อไร่ เป็น 27 ตันต่อไร่ นอกจากนั้นมันสำปะหลังที่นำเข้าจากบราซิลที่เคยมีปัญหาอ่อนแอขี้โรคกลับมีภูมิต้านทานเพลี้ยแป้งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เทคโนโลยีเหล่านี้คุณทศพลจัดอบรมให้เกษตรกรฟรีๆ โดยไม่มีข้อแม้ว่าจะต้องเอามันมาขายให้ คุณทศพลบอกว่า ก็เทคโนโลยีนี้ได้มาโดยไม่เสียอะไร เป็นโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยที่บังเอิญว่าเขาไม่มีที่ดิน เราเองมีที่ดินแต่ไม่มีเทคโนโลยี ก็เลยเป็นเรื่อง วิน-วิน ของทั้งสองฝ่าย
ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าซื้อใจกันขนาดนี้แล้ว เกษตรกรจะเอามันไปขายที่โรงงานไหน

โรงงานกับน้ำเสียเป็นของคู่กัน โดยทฤษฎีแล้วโรงงานก็ต้องมีบ่อทำการบำบัดน้ำเสียก่อนจะปล่อยทิ้งลงสู่ลำน้ำธรรมชาติ แต่ที่นี่เล็งเห็นโอกาสที่จะแปลงน้ำเสียให้เป็นไปได้มากกว่าน้ำดี เขาเลยขอสัมปทานตั้งบริษัท Korat Wast to Energy (KWTE) ขึ้นมา ใช้พลังงานจากปฏิกิริยาของสารจุลินทรีย์ผลิตกระแสไฟฟ้านำกลับมาใช้ภายในโรงงานแทนพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมัน ประหยัดไปปีนึงไม่ใช่น้อยๆ
คนงานในโรงงานอยู่ด้วยกันในนิคมบ้านพักภายในเขตโรงงาน มีการตั้งโรงเรียนให้ลูกหลานคนงานเรียนหนังสือ มีสนามกีฬาและพื้นที่สันทนาการ ในภาพรวมโรงงานสงวนวงษ์ดูเหมือนนิคมอุตสาหกรรมขนาดย่อมๆ

สงวนวงษ์

ธุรกิจแป้งมันทุกวันนี้ไม่ได้มุ่งผลิตขึ้นมาเพื่อการบริโภค ปัจจุบัน 85 – 90 % เป็นธุรกิจเพื่อการส่งออกและใช้ในอุตสาหกรรมแป้งมันนอกจากที่เรารู้จักว่ามีไว้ทำอาหารแล้ว ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ ไม้อัด สิ่งทอ ยาเม็ด ผงชูรส เอธานอล และอื่นๆ อีกมากมาย

กากมันที่นำมาทำเอธานอล แปรรูปเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า และผลิตไบโอแก๊ส NGV ยังมีราคาตกต่ำและยังไม่คุ้มต้นทุน แต่วันหนึ่งเมื่อราคาพลังงานถีบตัวสูงขึ้นอย่างถาวร ผู้ชนะในเวทีพลังงานทางเลือกก็คือผู้ที่เตรียมทุกอย่างพร้อมตั้งแต่วันนี้

ปัจจุบันมีผู้ปลูกแป้งมันที่เติบโตขึ้นมาแข่งขันจากทั้งกัมพูชา ลาว และพม่า และส่งเข้ามาขายในเมืองไทยเพื่อแปรรูป แต่สักวันกลุ่มประเทศเหล่านี้จะเริ่มผลิตแป้งมันได้เองในราคาที่ถูกกว่า ด้วยเหตุนี้ธุรกิจโรงงานแป้งมันจึงไม่สามารถอยู่นิ่งได้ แทนที่จะแข่งขันกันด้านราคา คุณทศพลเตรียมแผนรองรับไว้โดยการผลิตสินค้าอื่นๆ จากแป้งมัน โดยการร่วมทุนกับต่างประเทศ ขอความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีและช่วยให้เปิดตลาดให้


เรื่องของนักธุรกิจอาจจะไม่ใช่เรื่องที่มีไอดินกลิ่นโคลนมากนัก แต่ผมว่าแต่ละคนก็สามารถมีบทบาทที่แตกต่างในการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้กัน

Read Full Post »

แหม….ส่วนตัวเนอะ  เนื่องจากเข้าไปดูยูทูป “อุ้มรัก” ก่อนนี้ก็เคยดูอยู่บ้างตอนออนแอร์  ก็ชื่นชอบอยู่  พอได้เข้าไปดูเต็มๆ  อือ…. น่าสนใจมากอยู่   เรื่องชั้นเชิงการแสดงนี่รู้แก่ใจมานานแล้วถึงฝีมือน้องเขา  เอาว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่ระดับไร้ตัวตน…ว่างั้นก็ไม่น่าจะผิด   ด้วยเสน่ห์ของน้องเขา  และความอยากรู้อยากเห็น  เลยเข้าไปเสาะดูสัมภาษณ์ของน้องเขา  โอ้…ดีจังเลย  เพื่อนฝูงคงไม่รังเกียจนะ  ถ้าจะขอเชียร์ดาราซักคน

ข่าว_เนื้อหาข่าว_แอน_ทองประสมจริงๆแล้วเราไม่เคยมองน้องเป็นคนสวย  แต่รู้สึกว่าน้องเขามีแคแรกเตอร์  แต่พอมองเรื่องฝีมืองานแสดงน้องเขา  ก็ไม่มีอะไรจะวิจารณ์  น้องเขาเหนือจริงๆ

เอาสัมภาษณ์ดีๆของน้องเขามาให้อ่าน  แกะมาจาก คลิป “DARAหน้าหนึ่ง” บางตอน (จะได้ไม่ยูทูปมากนัก)

เมื่อถูกถามถึงตำแหน่ง “เจ้าหญิงตัวจริง” ที่ถูกตั้งให้โดย สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิง ปี 2550

“เป็นเกียรติมากค่ะ  แต่ว่า…คือแอนว่าเป็นเรื่องที่แซวเล่น  พูดเล่นให้เกิดสีสันในวงการมากกว่า  ถามว่า…แอนเป็นเจ้าหญิงได้มั้ยเนี่ย….แอนมองว่า  อยู่ที่มุมมองแต่ละคน  มองแอนสวยงามขนาดนั้นหรือเปล่า  แต่ถ้าถามตัวแอนเอง  ไอ้เราก้อรักและศรัทธาตัวเองอยู่แล้ว  เราเชื่อว่าเราทำสิ่งที่ดีมาตลอด  แต่ถ้าตำหนงตำแหน่งเจ้าหญิงนี่คงไม่กล้ารับ  แต่ถ้าถามว่า  ถ้าคนมาชมแล้วบอกว่า  คนคนนี้เป็นคนดีจังเลย  หยั่งเงี้ยแอนจะภูมิใจกับคำนั้นมาก  และแอนรู้สึกว่า  มันเป็นไปได้ที่สามัญชนธรรมดาอย่างเรา  จะแตะคำนั้นได้ถึง  อะไรอย่างเงี้ย  ใช่มั้ยค่ะ  แต่ว่าคำว่าเจ้าหญิง  มันอาจจะแบบ….ฟังไว้ให้ชื่นใจอย่างนั้นมากกว่า  แต่แตะต้องไม่ได้ค่ะ”

และเมื่อถูกถามถึงการถ่ายภาพหวิว

“มันเป็นจุดยืนของแอนตั้งแต่แรกแล้ว  อบ่างที่แอนบอกว่า  อยากให้คนเห็นแอนแล้วจะนึกถึงงานที่ดี  แค่นั้นเอง  มันเหมือนเป็นโลโก้ที่ติดกันมา  เพราะฉะนั้นแอนไม่ได้สนใจที่จะสร้างภาพตัวเองในแบบอื่นเพื่อให้คนมามองแอนมากกว่าเดิม  คือ…ต่อให้ ณ ตอนนี้มันจะมีกระแสแบบนั้นเกิดขึ้น  แอนคงสู้ไม่ไหว  แอนก็อาจจะต้อง  ถอย…ถอย…ถอยหลังมา  หลบๆอยู่ข้างฯ  เพื่อให้เขาลุยกันไป  แต่เรา…มันไม่ใช่ทางเรา  เราก็ต้องหลีกทางแค่นั้นเอง  คือแล้วแต่ว่า  คนชอบแบบนี้ก็ดูกัน  แต่เราไม่มีโชว์  เราไม่มีให้  แต่ถ้าจะมี จะอยากเห็นเรา  ก็ต้องเห็นเราในเรื่องของอีกแบบนึง  แล้วก็จะชัดเจนตรงนั้นไป”

(ศัพท์สร้อยก็แกะมาด้วย  อย่าว่ากัน  เผื่อจะเห็นภาพมากขึ้น)

๑๗ ปีที่อยู่ในวงการมา  น่าชื่นชมทีเดียวจากข้อมูลของน้องเขาอีกหลายๆอย่าง  นี่ก็เขียนเพลงให้น้องเขาอยู่  ก็ครึ่งเพลงแล้ว  ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่

คนตั้งใจทำงาน  มีความสามารถ  มีความคิดเป็นตัวของตัวเองดี  ก็อยากเชียร์เนาะ  เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าเจ้ากะลังอินกะน้องเขาอยู่แล้วกันเกาะ

Read Full Post »

วันนี้ผมเดินผ่านข้างตึกที่ทำงาน เพิ่งสังเกตว่าหมาจรที่อยู่ที่นี่มันเหมือนกับเป็นหมาหน้าใหม่เกือบยกชุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ไม่มีไอ้ขาวกล้ามสวย ไม่มีลุงมอมขนยาวที่เคยมายืนมองหาเจ้าของทุกๆ เช้า ตัวที่คุ้นๆ อีกหลายตัวก็หายไป มีแต่หมาแพนดี้ตัวนี้ตัวเดียวที่ผมจำได้ ผมไม่รู้หมาชุดเก่าเหล่านั้นหายไปยังไง หรือหมาชุดใหม่พวกนี้เป็นผลผลิตจากไหน แต่ผมกลับนึกถึงเรื่องเรื่องนึงขึ้นมา เรื่องที่น่าจะเอามาเล่าให้ฟังตั้งนานแล้ว

 

หมาจร_resize

อาทิตย์ที่แล้ว หลังจากซาบะตายเราไม่สามารถจะขุดหลุมใหญ่และลึกพอที่จะฝังมันได้อย่างเรียบร้อย ผมจึงต้องโทรเรียกรถบริการรับเผาศพและทำพิธีให้สัตว์เลี้ยง ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่แปลกแต่น่าจะทำเงินไม่น้อยทีเดียว หมาดัลเมเชียนตัวขนาดซาบะคิดค่าบริการสี่พันบาท ให้บริการครบวงจรตั้งแต่มารับศพ ประสานงานกับทางวัด ทำพิธีสวด จัดหาพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน น้ำอบและอุปกรณ์ต่างๆ  เมื่อนำเข้าเตาเผาหมดแล้วก็จะนำกระดูกห่อผ้าขาวกลับมาให้

ผมบอกแม่บ้านสองคนที่เคยดูแลมันอย่างใกล้ชิดว่าให้ไปทำพิธีส่งซาบะด้วย ผมจะรอรับกระดูกของซาบะอยู่ที่บ้านเพื่อที่จะฝัง ส่วนเรื่องเงินทำบุญก็ให้เขาทำไปตามศรัทธา ไม่ต้องทำเผื่อผมเพราะผมคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว

หลังจากฝังซาบะเรียบร้อยแล้วผมก็โอนเงินก้อนนึงไปให้ป้าคนนึงที่กำแพงเพชร

อาทิตย์ที่แล้วอีกเหมือนกัน ตัวแทนจากยูนิเซฟเข้ามาขอรบกวนเวลางานเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ ยุทธการไดเร็กเซลส์นี้คาดว่าเป็นวิธีใหม่เพื่อสู้กับจดหมายของมูลนิธิศุภนิมิต

หลังจากที่บรรยายความตามท้องเรื่องพร้อมกับเฮฮานอกเรื่องตามจำเป็นแล้ว เธอก็ยื่นโปรแกรมการบริจาครายเดือนให้ ผมก็ปฏิเสธทันควัน ผมบอกว่าผมชอบบริจาคเงินช่วยเหลือสุนัขมากกว่า สงสัยผมแสดงท่าทีรวบรัดชัดเจนไปหน่อย แต่เธอก็ไม่ละความพยายามกับคำพูดที่เพิ่มดีกรีรุนแรงขึ้น

“เด็กพวกนี้น่าสงสาร พี่มีลูกแล้วยิ่งน่าจะเข้าใจ”

“เด็กควรจะเติบโตในสังคมดีๆ ปราศจากอาชญากรรมและยาเสพติดนะพี่”

“เด็กพวกนี้เลือกเกิดไม่ได้ แต่พี่เลือกอนาคตดีๆ ให้เขาได้”

“เด็กพวกนี้ถ้าเลือกได้เขาคงอยากเกิดเป็นหมาเนอะ พี่จะได้ช่วย”

ผมชื่นชมในสิ่งดีๆ ที่องค์กรเหล่านี้ทำอยู่ แต่บางครั้งคำพูดบางคำของคนที่อยู่ในฐานะตัวแทนขององค์กรมันทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมยินยอมที่จะสละเวลาฟังเรื่องที่เธออยากจะพูดแต่ไม่ยินดีที่อาณาเขตส่วนบุคคลถูกรุกล้ำอย่างน่าเกลียด

วันนั้นเธอคงหวังและผิดหวังมากไปหน่อย

ผมข่มใจไม่ให้พลั้งปากขอโอกาสให้กับตัวเองได้เติบโตในสังคมที่ปราศจากวาจาเสียดสี แต่ผมแค่อธิบายให้เธอฟังว่า ผมเข้าใจดีหากเด็กๆ ได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอและเป็นระบบแล้ว เขาก็มีโอกาสเติบโตและมีอนาคตที่ดี ซึ่งผมก็ยินดีด้วย แต่เด็กๆ มีคนช่วยเยอะแล้ว ผมอยากจะช่วยในส่วนที่คนส่วนใหญ่อาจจะละเลยหรือหลงลืมและส่วนที่ไม่มีกำลังเรียกร้องบ้าง ก็เท่านั้น

แต่สิ่งที่ผมอธิบายไม่ได้คือทำไมผมถึงเลือกที่จะไม่รดน้ำในกระถางให้ดินดำน้ำชุ่มเพื่อจะรอดูต้นไม้เติบใหญ่งดงาม แต่ผมกลับเลือกจะเทน้ำใส่เข่งที่มีแต่จะรั่วไหลออกไปในทันทีที่ถูกเติม

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสองปีก่อน ผมพบข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับป้าที่ใช้เงินที่มีอยู่แทบทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้มาเลี้ยงหมาแมวฝูงหนึ่ง  อันที่จริงเราคงจะได้ยินเรื่องทำนองนี้ออกบ่อยๆ เมื่อข่าวสะพัดออกไปก็จะมีคนออกมาช่วยระดมทุน บ้างก็เอาอาหารเอาของใช้มาให้ บ้างก็พาสัตว์ไปฉีดวัคซีนหรือพาไปรักษา ผมมั่นใจน้ำใจคนไทยไม่เคยเหือดแห้ง แต่ในกรณีของป้าคนนี้ดูจะได้รับความช่วยเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะแกไม่ได้อยู่ในที่ที่ไปมาสะดวกนัก แกอยู่ที่อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร

ในวันที่เราออกเที่ยวสุโขทัยต้นเดือนกุมภาปีที่แล้ว ผมจดรายละเอียดเท่าที่จะหาได้ แวะซื้ออาหารเม็ดหนึ่งกระสอบใหญ่กับสองกระสอบเล็กเอาขึ้นท้ายรถ ขีดเส้นทางผ่านตัวอำเภอพรานกระต่ายแล้วออกเดินทาง โทรถามทางป้าแกเป็นระยะๆ จนมาถึงที่หน้าโรงเรือนแห่งหนึ่งบนทางหลวงหมายเลข 101 ระหว่างกำแพงเพชรกับสุโขทัย

หญิงวัยกลางคนเดินมาเปิดประตู ผมมองลอดซี่กรงเห็นหมาเดินเพ่นพ่านเกือบร้อยตัว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยประโยคแรกถามถึงจำนวนหมาแมวที่แกเลี้ยงไว้ คำตอบที่ได้คือไม่แน่ใจแต่บอกว่าข้างในโรงเรือนมีอีกเยอะ ผมเดินกลับมาเปิดท้ายรถยกอาหารเม็ดลงมา เมื่อพิจารณาเรื่องสมดุลระหว่างอาหารเม็ดและจำนวนหมาแมวที่มีมากกว่าที่เราคิดไว้ คาดว่าคงจะได้กินกันตัวละไม่กี่คำ แต่ป้าก็มีท่าทางดีใจพร้อมกับบอกว่า “ดีจริง พวกนี้ไม่ค่อยได้กินของดีๆ เท่าไหร่หรอก” ป้าบอกว่าพวกมันกินแต่ข้าวเปล่าๆ เป็นอาหารประจำ บางมื้อเท่านั้นที่จะมีเศษเนื้อบ้าง ถ้าแย่จริงๆ บางวันก็อาจจะไม่มีอะไรกินเลย

ดูจะเป็นการแนะนำตัวที่เกิดขึ้นช้าและไม่ถูกกาลเทศะเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ช่วยป้าเอากระสอบอาหารไปเก็บไว้ในเพิงแล้ว เราถึงได้เริ่มเล่าถึงสาเหตุของการมาเยือนและข้อมูลที่รับทราบมา หลังจากนั้นป้าสุวคนธ์เจ้าของโรงเลี้ยงหมาแห่งนี้ก็แนะนำตัวและเริ่มเล่าเรื่อง ป้าบอกว่ารถราแถวนี้วิ่งกันเร็ว แกเห็นหมาถูกรถชนบ่อยๆ แล้วสงสาร บางตัวก็เอาถูกปล่อยไว้ข้างถนนเดินงงไปมา ถ้าทิ้งไว้ก็คงไม่รอด ก็เลยเก็บหมาพวกนี้มาเลี้ยงไว้ในที่ของแก แล้วหมาที่เลี้ยงๆ อยู่มันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วยสาเหตุต่างๆ ผมไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงเรื่องราวอย่างละเอียดนักด้วยคิดไปว่าแกคงเหนื่อยกับการตอบคำถามซ้ำๆ

ป้าชี้ให้เราย้อนไปดูสิ่งที่เราใช้เป็นที่หมายตาตอนขับมาจากตัวอำเภอ ป้ายแผ่นใหญ่มีข้อความขอบริจาคอาหารและยารักษาโรคสำหรับสุนัขและแมว แต่ป้ายนั้นกลับไม่ได้ส่งผลอย่างที่ป้าหวังไว้

“ไม่รู้คนเขาอ่านผิดรึยังไง พอมีป้ายนี่ขึ้นมาคนก็เลยเอาหมาเอาแมวมาปล่อยให้ป้าเลี้ยงกันใหญ่”

ป้าได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้กับความเห็นแก่ตัวของคน

การไปเยือนคราวนั้นจบลงในเวลารวดเร็ว ผมอยากจะเดินทางต่อไปจุดหมายที่สุโขทัยก่อนเที่ยง ส่วนป้าก็กลับไปวุ่นวายกับภารกิจดูแลสวนสัตว์ประจำวัน กล้องถ่ายรูปที่มีอยู่ในรถผมก็ดันไม่ได้เอามาถ่าย แต่หลักฐานของความมีตัวตนและการกระทำของป้าสุวคนธ์ก็พอมีกระจัดกระจายอยู่บ้างตามอินเตอร์เน็ต ใครสนใจก็เลือกคลิกเอา น่าจะได้ข้อมูลมากกว่าที่ผมเขียน

 

หมาแดงบนกำแพงอิฐ

ถ้าใครรู้สึกว่าหมาพวกนี้น่าจะมีโอกาสได้อยู่รอดนานกว่าที่มันควรจะอยู่ได้ซักวันสองวัน ผมก็ขอให้รายละเอียดบัญชีที่จะโอนเงินบริจาคไว้ด้วย

บัญชีธนาคารออมสิน สาขาพรานกระต่าย ประเภทบัญชีฝากเผื่อเรียก

ชื่อ สุวคนธ์ ไม้แดง

หมายเลข 04-2902-20-039069-5

คำเตือน:

1. การโอนเงินสดที่ธนาคารออมสินข้ามเขต มีค่าธรรมเนียมสามสิบบาท ถ้าโอนข้ามธนาคารก็ต้องบวกเพิ่มไปอีก แล้วแต่ธนาคารไหนจะคิดเท่าไหร่

2. หมาแมวพวกนี้จะไม่ได้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองคุณภาพเพ็ดดีกรีหรือกลายเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตแต่ประการใด

Read Full Post »

Goodyear

ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตากรรม

กลางฤดูร้อนปี ค.ศ. 1834 ชายซอมซ่อคนหนึ่งเดินทางจากนิวยอร์กกลับบ้านที่เมืองฟิลาเดลเฟีย เมื่อไปถึง เขาถูกจับเข้าคุกเนื่องจากมีหนี้สินค้างชำระมานาน

เขาบอกภรรยาว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่การไปพักใน ‘โรงแรม’ เท่านั้น”

เขาขอให้ภรรยานำยางดิบและอุปกรณ์หลายชิ้นมาให้ และใน ‘โรงแรม’ แห่งนั้น เขาก็เริ่มทำการทดลอง

เขาเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ก และพบเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง

เขาชื่อ ชาร์ลส์ กูดเยียร์ แต่หลายปีที่ตามมาไม่ใช่ปีที่ดี (good year) ของเขาแน่นอน

กูดเยียร์เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจ เป็นหุ้นส่วนกับพ่อ ผลิตสินค้าต่างๆ เช่นกระดุม อุปกรณ์การเกษตร ฯลฯ แต่เมื่ออายุยี่สิบเก้า สุขภาพของเขาเสื่อมลง เช่นเดียวกับธุรกิจ ในที่สุดก็ต้องเลิกกิจการ

จุดที่สร้างความเปลี่ยนชีวิตเขาเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในนิวยอร์ก เขาเห็นห่วงยางชูชีพที่คุณภาพไม่ดี

เขากลับบ้านมาลองทำงานปรับปรุง และนำตัวอย่างงานที่เขาแก้ไขไปเสนอบริษัทผู้ผลิตยางแห่งแรกของอเมริกา

ผู้จัดการบริษัทชอบใจงานของเขา แต่บอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะบริษัทนั้นกำลังไปไม่รอด เนื่องจากสินค้ายางทั้งหลายของบริษัทถูกส่งคืนมาจากทุกที่ คนใช้สินค้าเบื่อหน่ายที่ยางแข็งเป็นก้อนในฤดูหนาว และเหลวเป็นกาวในฤดูร้อน

ในวันนั้นกูดเยียร์มองกองสินค้ายางที่ถูกส่งคืนมา แทนที่จะเห็นเหมือนคนอื่นว่าสิ้นสุดยุคสินค้ายางแล้ว เขากลับรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นและท้าทายยิ่ง เขาคิดปรับปรุงคุณภาพของสินค้ายางเหล่านั้น

หลังจากออกจากคุก เขาทำการทดลองอย่างขะมักเขม้น ด้วยความช่วยเหลือของเมียและลูกและเพื่อน ใช้บ้านเป็นที่ทดลองและผลิต

เขาเห็นว่า ในเมื่อยางเป็นวัสดุธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติยึดตัวเองได้ ทำไมจะไม่สามารถใส่สารอะไรสักอย่างเพื่อช่วยไม่ให้มันไม่เหนียวเหนอะหนะ

กูดเยียร์ขายทุกอย่างเอาเงินมาทดลอง ใครๆ ก็บอกให้เขาเลิกทดลอง เพราะครอบครัวเดือดร้อน ลูกๆ ไม่มีอะไรกิน

กูดเยียร์ย้ายไปนิวยอร์ก อยู่ในห้องเล็ก ทดลองหาส่วนผสมที่ถูกต้อง หลายปีนั้นชีวิตของเขาเต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก แต่คำว่า ‘เลิก’ ไม่เคยอยู่ในหัวของเขา สุขภาพเสื่อมลงจากการทดลองที่ใช้สารเคมี ครั้งหนึ่งเกือบสำลักแก๊สจากการทดลองตาย

มีคนบอกว่า “ทำไปทำไม ยางน่ะตายไปแล้ว”

แต่เขาก็ยังทำงานต่อไป

เขาลองทุกอย่าง ทุกทางที่คิดออก ในที่สุดก็สามารถทำให้ยางอินเดียไม่เหนียวเหนอะหนะสำเร็จในระดับหนึ่ง

เขาหาหุ้นส่วนและสร้างโรงงานผลิตสินค้ายาง ทุกอย่างดูสดใสขึ้น เขาฝันว่าจะทำทุกอย่างด้วยยาง ห่วงชูชีพ ธง เครื่องประดับ เครื่องดนตรี แม้กระทั่งธนบัตร แต่เศรษฐกิจซบเซาในปี 1837 ก็ทำให้ธุรกิจของเขาล่มสลาย เขาสิ้นเนื้อประดาตัวอีกครั้ง

ตลอดเวลานั้น ครอบครัวของเขาก็เดือดร้อนด้วย อยู่อย่างยากจน เพื่อนบ้านให้อาหารแก่เด็กของเขา และอนุญาตให้ขุดมันฝรั่งมากิน

วันหนึ่งเขาเดินเข้าร้านขายของแห่งหนึ่งเพื่อแสดงผลงานยางที่ผสมซัลเฟอร์ เขาทำให้แผ่นยางปลิวโดยบังเอิญ มันลอยตกไปบนเตาร้อน

เขาพบว่ามันไม่หลอมละลาย แต่กลับดูคล้ายแผ่นหนัง พื้นผิวเรียบสวย เขาได้ทำยางกันน้ำสำเร็จแล้ว!

ตอนนี้กูดเยียร์รู้แล้วว่าซัลเฟอร์กับความร้อนเป็นองค์ประกอบ แต่ไม่รู้ว่าต้องร้อนแค่ไหน และนานเท่าไร

อย่างอดทน เขาค่อยๆ ย่างยางบนทรายร้อน และทดลองต่อไปอย่างอดทน สูดดมกลิ่นที่เกิดจากสารเคมีเข้าไปตลอดเวลา

เขาจำนำนาฬิกา เครื่องเรือน แม้แต่ถ้วยชาม เขาทำจานยางมาใช้แทน ช่วงนั้นสุขภาพของเขาทรุดโทรมหนัก ต้องใช้ไม้เท้าในการทำงานทดลอง

เขาพยายามหาเงินลงทุน แต่คนที่เคยให้เงินเขาเข็ดเสียแล้ว เพราะเขายืมเงินบ่อยและทำงานไม่สำเร็จสักที

เขาถูกส่งตัวเข้า ‘โรงแรม’ อีกครั้งเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าโรงแรมเพียงห้าเหรียญ

เมื่อกลับบ้าน เขาพบว่าทารกชายของเขาตายเสียแล้ว

กูดเยียร์มีลูกทั้งหมดสิบสองคน หกตายตั้งแต่ยังเป็นทารก เขาไม่มีเงินแม้แต่ค่าทำศพลูก ต้องยืมรถศพจากคนอื่น

แต่งานทดลองก็ดำเนินต่อไป

ไม่มีอะไรในโลกที่หยุดยั้งความเพียรของมนุษย์ได้ ในที่สุดบุรุษผู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคก็พบสูตรว่า ไอน้ำใต้แรงกดดัน 4-6 ชั่วโมง อุณหภูมิ 270 องศาฟาห์เรนไฮท์ให้ผลดีที่สุด เขาหานายทุนได้ และเริ่มผลิตอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามความสำเร็จในการประดิษฐ์ไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยเสมอไป เขาได้รับลิขสิทธิ์ทะเบียนยางบางชิ้น แต่การจดทะเบียนอีกหลายชิ้นในต่างประเทศกลับไม่สำเร็จ เพราะถูกคนอื่นช่วงชิง

ตัวอย่างงานชิ้นหนึ่งของเขาถูกชาวอังกฤษคนหนึ่งเห็นลอกเลียน และจดทะเบียนดักหน้า เมื่อเขาตายในปี 1860 เขาเป็นหนี้อยู่สองแสนเหรียญ

โลกเราหมุนมาได้ถึงจุดนี้ก็เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด และหากทำงานหนักและต่อเนื่องพอ ผลลัพธ์ย่อมไม่แย่แน่นอน

ชีวิตของพวกเขาอยู่ที่งาน ยอมทำทุกอย่าง ยอมลำบากเพื่อความฝันของตนเอง

ชาร์ลส์ กูดเยียร์, วินเซนต์ แวน โกะห์ และอีกหลายๆ นาม คือคนที่ล้มเหลวยามเมื่อมีชีวิต แต่งานของพวกเขาเป็นอมตะ

สมการที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอน์สไตน์อาจคือ E = mc2 แต่น้อยคนรู้ว่า ไอน์สไตน์ก็มีอีกหนึ่งสมการที่ทำยากเช่นกัน เป็นสมการแห่งความสำเร็จ

A = x + y + z

A คือความสำเร็จในชีวิต x คืองาน y คือการเล่น z คือปิดปากและทำงานเสีย!

ไอน์สไตน์บอกว่า พยายามอย่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเลย แต่เป็นคนที่มีคุณค่าจะดีกว่า บางครั้งการได้ทำ แม้ไม่สำเร็จ มีค่ากว่าความสำเร็จ

นี่คือข้อแตกต่างระหว่าง สิ่งที่ได้ทำ (achievement) กับความสำเร็จ (success)

กูดเยียร์เขียนว่า “ชีวิตไม่ควรถูกคำนวณจากมาตรฐานของเงินตราอย่างเดียว ผมไม่ได้บ่นว่าผมได้เพาะหว่านและคนอื่นเก็บเกี่ยวผลไป เราสมควรจะเสียใจก็ต่อเมื่อเราเพาะหว่านไปแล้ว ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมา”

เพราะสำหรับคนบางคน ความยากลำบากไม่มีความหมายอะไรเลย ความสุขระหว่างการทำงานต่างหากคือรางวัล

หมายเหตุ – ความสำเร็จในการประดิษฐืไม่ได้หมายความถึงความร่ำรวยเสมอไป กูดเยียร์ได้รับสิทธิบัตรทะเบียนยางบางชิ้น แต่การจดทะเบียนอีกหลายชิ้นในต่างประเทศกลับไม่สำเร็จ เพราะถูกคนอื่นลอกเลียนและจดทะเบียนดักหน้า

เมื่อกูดเยียร์ตายในปี พ.ศ.2403 เขาเป็นหนี้อยู่สองแสนเหรียญ อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของกูดเยียร์ก็มีชีวิตอยู่ได้จากสิทธิบัตรผลงานบางตัวของเขา

………………………………………………………………………………………………….

(ตีพิมพ์ครั้งแรก : เปรียว 2549)

วินทร์ เลียววาริณ “เบื้องบนยังมีแสงดาว” หนังสือเสริมกำลังใจ ชุด 3

Read Full Post »

สืบต่อจากเรื่องราวจากภาพยนตร์ Crossroads ที่ MrKan เสนอไว้ แล้วเกิดคำถามจาก SurveyMan เมื่อมีเวลาก็เลยได้รื้อหนังสือเรื่องราวของบุคคลแห่งตำนานมาเล่าให้อ่านกัน

เรื่องราวของ Robert Johnson ผู้สร้างให้เกิดเรื่องเล่าขานแห่งตำนานการขายวิญญาณแก่ซาตานเพื่อแลกกับฝีมืออันเอกอุ

มรดกแห่งความสามารถที่เขาทิ้งไว้ให้รุ่นหลังได้ศึกษา คือบทเพลงที่ได้รับการบันทึกเอาไว้ 29 เพลง ทั้งหมดใช้เวลาบันทึกจริงๆเพียง 5 วันเต็มเท่านั้น 3 วันแรกบันทึกใน San Antonio เมื่อพฤศจิกาปี 1936 อีก 2 วันที่เหลือบันทึกที่ Dallas ในอีก 7 เดือนให้หลัง แต่งานเหล่านั้นก็กระจัดกระจายนับแต่นั้น เมื่อเข้าทศวรรษ 60 งานเหล่านี้จึงได้ถูกนำมารวบรวมอีกครั้ง นั่นคือไม่ต่ำกว่า 23 ปีที่เจ้าของผลงานได้จากไปแล้ว King Of The Delta Blues Singer Volume I และ II เป็นอัลบั้มที่ถูกกล่าวขานว่า “นักดนตรีบลูส์ทุกคนต้องฟัง” มันกลายเป็นลัทธิให้บรรดานักดนตรีอย่าง Keith Richards(The Rolling Stones), Eric Clapton, Brain Jones, Johnny Winter , Bob Dylan เป็นต้น   บางคนให้นิยามว่า “ฝีมือกีตาร์ของเขามหัศจรรย์พันลึก แต่เสียงร้องมหัศจรรย์ยิ่งกว่า มันเหมือนสายลมอันเย็นยะเยือกที่ครวญครางหวีดหวิวเมื่อมันเคลื่อนตัวผ่านสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ Mississipi”

บางคนอธิบายว่า“เสียงร้องเขาเหมือนกับเสียงบางอย่างที่คุณมักจะได้ยินในป่าลึกเวลาที่คุณอยู่เพียงลำพัง และมันเป็นเสียงที่คุณไม่มีทางอธิบายได้ว่า เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากอะไร มีต้นตอมาจากไหน”

เริ่มต้นเรื่องราวจากปากคำของผู้เฒ่าแห่งดนตรีบลูส์ ว่า Robert Johnson ในวัยรุ่นเล่นกีตาร์ได้ไม่ดีนัก สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญคือฮาโมนิก้า เพื่อนบ้านที่สำคัญของเขา 2 คน คือนักดนตรีบลูส์รุ่นใหญ่ Willie Brown และ Son House แนะนำให้เขามุ่งมั่นกับฮาโมนิก้าจะดีกว่า เพราสิ่งที่เขาแสดงออกเกี่ยวกับกีตาร์นั้นเป็นเรื่องพื้นๆ แถมยังดูออกด้วยว่าไม่มีทางไปไหนได้ไกลหากยังดันทุรังอยู่กับกีตาร์ต่อไป

Robert ไม่มีอาการโต้แย้ง แต่เขาหายตัวไปเฉยๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นผิวดำในแถบนั้นสมัยนั้น การหายตัวไปเป็นเรื่องที่ปกติ แล้วข่าวก็จะตามมาหลังจากนั้นโดยพวกนายอำเภอ(ผิวขาวแน่นอน)ว่าเด็กผิวดำที่หายไปนั้นกำลังอยู่ในคุกด้วยข้อหาต่างๆ และพนันได้เลยกว่าครึ่งหนึ่งของข่าวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันเป็นช่วงเวลาแห่งลัทธิเหยียดสีผิว พวกผู้ใหญ่ผิวดำทำอะไรได้ไม่มากนัก ก็ได้แต่ยอมรับไปเสีย แล้วก็หลอกตัวเองว่าเป็นเรื่องจริง

แล้่ว Robert ก็กลับมาหลังจากที่หายไป 40 วันอย่างที่ไม่มีใครได้รับข่าวใดๆทั้งสิ้น เขาปรากฎตัวที่บาร์เล็ก ที่ที่ซึ่ง Willie Brown และ Son House เล่นประจำอยู่ โดยมีกีตาร์สะพายอยู่บนไหล่ เขาได้ขึ้นโชว์ 2-3 เพลง มันกลายเป็นความตื่นตะหนกแก่ผู้เฒ่าทั้งสอง

Robert หายไปด้วยฝีมืออ่อนหัด และกลับมาด้วยฝีมือระดับ Grand Master!! ระหว่างสองจุดนี้ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน ต่อให้เขาใช้เวลาทั้งหมดที่หายไปฝึกฝนโดยไม่หยุดก็ไม่มีทางไปได้ถึงขนาดนั้น

โดยสรุปก็คือเขาต้องค้นพบพลังอำนาจบางอย่าง ความเก่งกาจของเขาได้รับการยืนยันจากคนใกล้ชิดเขาที่สุด 2 คน คือ Robert “Junior” Lockwood และ Johny Shines ทั้งสองเล่าว่า “เขามีความสามารถระดับที่ว่า เมื่อเขาฟังเพลงซักเพลงจากวิทยุหรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงจบลง เขาจะเล่นเพลงๆนั้นได้ทันทีและอย่างสมบูรณ์ด้วยแม้จะเห็นอยู่ว่าเขาไม่ได้สนใจหรือตั้งใจฟังซักเท่าไหร่”

ถึงวันนี้ยังไม่มีมือกีตาร์บลูส์คนใดกล้ากว่าวอ้างว่า “เขาสามารถเล่นคันทรี่และเดลต้าบลูส์ ได้ดีเท่า Robert Johnson “ ไม่มีเลย…29 เพลง  เมื่อก่อนปี 1937 Robert ทำได้อย่างไร? ฝีมือของเขาควรตั้งอยู่ระดับไหน

ปี 1938 Robert จากโลกนี้ไปด้วยด้วยการดื่มวิสกี้ผสมยาพิษ โดยไม่มีใครบอกได้ว่าเขาอายุเท่าใด (ประมาณกันว่า 26 ) เพราะวันเดือนปีเกิดของเขาไม่ได้รับการยืนยันแน่นอน เพียงคะเนจากภาพถ่าย แต่เชื่อไหม? มีเพียง 3 ภาพที่ได้รับการยืนยันว่าคือภาพของ Robert จริงๆ ที่เหลือเพียงอาจจะใช่ หรือ ควรจะใช่  ทั้งสิ้นการพิสูจน์ในเวลาต่อมาพบว่าเขาผสมและดื่มวิสกี้แก้วนั้นด้วยตนเอง “บางทีนั่นคือช่วงเวลาที่สัญญาถึงเวลาทวงถามและได้รับการสะสาง”

เรื่องที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดคือ Robert ขายวิญญาณให้ซาตานเพื่อแลกกับฝีมืออันเอกอุตรงบริเวณสี่แยกที่เรียกว่า Delta Crossroad ใน Mississipi!! ซึ่งในภาพยนตร์ Crossroads ก็ใช้บริเวณนี้เป็นฉากจริง มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเนื้อเพลงของเขาซึ่ง Steve Lavere ผู้ค้นคว้าเรื่องของ Robert Johnson และเป็นเจ้าของรูปของเขา 2 ใน 3 รูป บอกไว้ว่าในเพลง “Me And The Devil” มีเนื้อร้องประโยคหนึ่งว่า“Hello Satan, I Believe It’s Time To Go” แต่ต้องฟังให้ดีจึงจะพบ การเขียนคำร้องของ Robert นั้นมักชอบที่จะพาดพิงถึงบรรดาภูติผีปีศาจทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่เสมอ เช่นอีกท่อนหนึ่งในเพลง “Cross Road Blues“กล่าวว่า ” Went to the crossroad, fell down on my knees, Asked the Lord above “Have mercy, now save poor Bob, if you please” ฉะนั้นเมื่อไม่มีใครอธิบายสาเหตุอะไรได้ เรื่องราวจึงถูกโยนไปให้ “คำสัญญาที่เขาให้ไว้กับใครซักคน ในคืนอันมืดมิดและเดียวดาย ที่ Delta Crossroad”

Eric Clapton เคยกล่า่วถึงงานของ Robert ว่า “เขามีพลังมากเกินไป มันหมายถึงเจตนาอันแรงกล้าในงานของเขา ความขบถของเขา เขาเหมือน”หมาป่าโดดเดี่ยว”แต่สวยงาม”

Keith Richads กล่าวว่า “ถ้าผมสามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้

ผมคงยินดีมาก แต่มันไม่อาจจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกอยากฟังงานของ Robert Johnson เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ แต่ผมจะบอกว่าถ้าคุณต้องการฟังดนตรีที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องฟังงานของชายคนนี้”

ทุกวันนี้เพลงของ Robert Johnson ยังคงถูกนำมาเล่นมาตีความครั้งแล้วครั้งเล่า

IF “ClAPTON IS GOD” THEN “ROBERT JOHNSON IS GOD OF GOD!”

นี่คือคำจำกัดความสั้นๆจากนิตยสาร “Q” แห่งอังกฤษ

…………………………………………………………………………..

ข้อมูลและบางสำนวน จาก นิตยสาร บันเทิงคดี ฉบับที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534 โดย “มือกีตาร์เถื่อน”

Read Full Post »

lynch มีความหมายหนึ่งได้ว่า ทำให้คนเป็นทาส มาจากชื่อคน William Lynch เป็นชาวอังกฤษ เป็นเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียง  ประสบความสำเร็จในการปกครองทาส  เป็นผู้นำแนวคิดที่เรียกันว่า Lynch Method มาเผยแพร่  หลักๆก็คือ  ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันในหมู่ทาส  และให้ทาสพึ่งพาแต่เจ้านายเท่านั้น  เป็นเหมือนการล้างสมองและควบคุมจิตใจ  จับคู่ให้ระแวงกันและกันในทุกองค์ประกอบ  ไม่ว่าจะเป็นระหว่างทาสชายกับทาสหญิง  ทาสผิวดำมากกับผิวดำน้อย  ทาสอายุมากกับทาสอายุน้อย  ส่วนเจ้าของทาสเองก็ให้นำแนวความคิดนี้ไปปฏิบัติ  แล้วให้ทุกคนในครอบครัวปฏิบัติกันให้เชี่ยวชาญ  ทุกวินาที  ทุกขณะจิต

“If you used intensely for one year, the slaves themselves will remain perpetually distrustful”

“ถ้านำไปใช้อย่างจริงจังในเวลา 1 ปี  ทาสจะเป็นคนที่ไม่ไว้ใจใครตลอดไป”

William Lynch กล่าวไว้ในตอนจบของคำปราศัยที่รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อปี ค.ศ. 1912

หากสนใจหาคำปราศัยนี้มาาอ่าน  search google ว่า William Lynch speech

———————————————————————–

ข้อมูลจาก คอลัมน์ ใส่บ่าแบกหาม  โดย พรพิมล  ลิ่มเจริญ  มติชน สุดสัปดาห์  ฉบับ 1467 ประจำวันที่ 26 กย.-2 ตค. 2551

Read Full Post »

สายสุนีย์ สุขกฤต
‘นางรอง’ เสียงก้องโลก

(เรื่องนี้เขียนโดย คุณชาญยุทธ ปะวะขัง
เผยแพร่ ใน http://www.nationejobs.com)

ไม่เพียงแต่สร้างเซอร์ไพร้ส์ให้ผู้ชม จนเรียกเสียงเกรียวกราวสนั่นเวที Karaoke World Championship 2005 ที่ฟินแลนด์

แต่ ผู้หญิงคนนี้เธอแกร่ง โดดเด่น มาพร้อมพลังเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ นำความเป็นไทยผสานสากลได้อย่างกลมกลืน สมแล้วกับตำแหน่งรองแชมป์ประกวดการร้องเพลง คารา โอเกะ โลกคนล่าสุด

“ตั้งแต่ รอบที่เหลือ 5 คน รู้สึกว่าเราร้องพลาด เสียงแตกก่อนถึงเพลงสุดท้าย ใจจึงตุ้มๆ ต่อมๆว่าเราจะได้ที่สุดท้ายหรือเปล่า พอประกาศที่ 5 ที่ 4 ที่ 3 ไม่ใช่เรา ก็ยิ่งตื่นเต้นใหญ่ แต่ก็โล่งอกพอสมควร สูดลมหายใจ
ตอนนี้ชักโล่งอยากได้ที่ 1 …..วินาทีนั้นเขาประกาศชื่อคนที่ได้รองก่อน
นึกในใจอยากให้เป็นชื่อของไอซแลนด์ แต่พอเป็นชื่อเราก็ เฮ้อ…ในใจ”

รองแชมป์ คาราโอเกะโลกเปิดใจ แม้จะได้เพียงรองแชมป์ และรู้สึกผิดหวังเล็กๆกับตำแหน่งผู้ชนะเลิศ แต่ลึกๆแล้วเจ้าตัวก็ดีใจ
และตื่นเต้นไม่น้อย

“เท่าที่สื่อต่างชาติเขียนถึงเราแล้วมีรูปเราลงด้วยนี่ เขาบอกเราว่า โดดเด่น แข็งแรง ประมาณว่ามีแอ็คติ้งอยู่ด้วย ตอนนั้นเรามั่นใจ
ก็เลยใส่ลีลาเต็มที่ ยืนร้องบ้าง นอนร้องบ้าง”

สิ่ง ที่เราเห็นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้เธอเรียนการแสดงมาจาก ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ส่วนในเรื่องของเสียง ก็ฝึกซ้อมมาพอสมควร และที่สำคัญเวทีระดับโลกอย่างนี้ บางช่วงเธอใช้ไม้เด็ดด้วยการร้องโดยไม่ใช้ไมโครโฟน ซึ่งคนต่างชาติไม่เคยเจอ เรียกว่าใส่แอ็คติ้งเต็มที่ แล้วก็เอ็นเตอร์เทนคนดูเก่งด้วย…

“สายสุนีย์ สุขกฤต” หรือ “แป๋ว” นักร้องเสียงดีของวงการไม่ใช่แค่ศิลปินโนเนมที่เพิ่งมามีชื่อเสียง ทว่าทุนเดิมในเรื่อง “ความสามารถ” และ “คุณภาพ” ได้การันตีให้เธอเป็นที่ยอมรับมาแล้วหลายเวที

เริ่มตั่งแต่การคว้า รองแชมป์ระดับขาโจ๋ อย่างเวทีโค้กมิวสิกอวอร์ด ปี’34 ตลอดจนตำแหน่ง นักร้องดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี’36 หรือเป็นรองนักร้องยอดเยี่ยมฯ จากเคพีเอ็นอวอร์ด ของสยามกลการ (ในปีนั้น คุณวิภู กำเนิดดี ได้ตำแหน่งนักร้องยอดเยี่ยม ) นี่ยังไม่นับรวมเวทีประกวดร้องเพลงเล็กๆอีกมากในสมัยเริ่มแตกเนื้อสาว

แต่ เหล่านี้ใช่ว่าจะส่งให้เธอดังเปรี้ยงปร้าง เพราะเป็นที่รู้ว่าตำแหน่งนางรองหาก “โอกาส” ไม่มา ก็ไม่มีใครจับจองชวนไปออกเทป อย่างไรเสีย เมื่อฟ้าดินลิขิตให้เกิดมาเป็นคนขายเสียงอยู่แล้ว ก็ไม่แคล้วต้องมีเหตุให้คนรู้จักในสักวัน

เสียงร้องของสายสุ นีย์ เริ่มดังกึกก้อง เมื่อบทเพลง “กลับมารักกัน” ซึ่งใช้ประกอบละครเรื่องรักแท้ของเจนจิรา ทางช่อง 3 ขณะเดียวกันเธอเคยเล่นละครในบทตัวร้ายและนางรองอีกหลายเรื่อง หลังจากนั้นก็เงียบหายไปพักใหญ่ แต่เจ้าตัวบอกว่า ไม่ได้หายไปจากวงการ ยังคงรับงานร้องเพลงอยู่ตลอด รวมถึงช่วงหนึ่งเป็นศิลปินรับเชิญให้ค่ายยักษ์ใหญ่
อย่างแกรมมี่ ในชุด “แจ๊สซี่” ด้วย

ความ สามารถรอบด้านชนิดหาตัวจับยากอย่างนี้ ทำให้เธอถูกคัดเลือกให้ไปร่วมประกวดร้องเพลงคาราโอเกะโลกอย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยเพราะเจ้าของลิขสิทธิ์การประกวดร้องเพลงคาราโอเกะโลก ชิงแชมป์ประเทศไทย อย่างกิจการร่วมทุน ซีเอ็มโอ-เคดับเบิ้ลยูซีพี (Thailand Karaoke World Championship) ไปสะดุดเข้ากับเพลง I will survive เวอร์ชั่นภาษาอีสาน และอดทึ่งกับความสามารถของเธอไม่ได้

“เขา กำลังหานักร้องชาย-หญิงไปเป็นตัวแทนประเทศไทยจริงๆ จึงจัดการประกวดเพื่อคัดเลือกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ ก็เลยไม่อยากจัดเอิกเกริกมาก ทางกรรมการก็เลยสรรหาเอง มีคนส่งเทปเดโม่มาบ้าง บังเอิญนักร้องชายคัดเลือกไม่ทัน
ก็เลยคัดแต่นักร้องหญิง

พอดี เรารู้จักพี่ติ๋ม ลักขณา จำปา ที่ปรึกษาบริษัทฯ เขาแนะนำเรากับกรรมการว่า ลองฟังนักร้องคนนี้ดูไหม พอเราแสดงความสามารถ ทางกองประกวดก็เห็นด้วย แล้วก็ตัดสินใจส่งไปเลย”

เหมือนจับพลัด จับผลูให้ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันระดับโลก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ สายสุนีย์ จึงพยายามเก็บความตื่นเต้น และพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ไม่ค่อยฟิตเท่าไหร่ เพราะก่อนไปไม่ค่อยสบาย อีกอย่างรู้ล่วงหน้าไม่นาน ได้ซ้อมจริงๆแค่ 12 วัน ก่อนเดินทางไปเท่านั้นเอง ก็พยายามทำให้ดีที่สุด มีว่ายน้ำและก็รักษาสุขภาพไม่ให้เป็นหวัด เข้าคอร์สแต่งหน้าด้วย เพราะต้องแต่งหน้าเอง อยากให้ออกมาสวย”

“เรา เซอร์ไพร้ส์ต่างชาติ เพราะแต่งตัวดี มีผ้าไหมไทยคลุมไหล่ตลอด แล้วก็มีของที่ระลึกเป็นเครื่องเงิน (คล้ายๆจี้พิมพ์นูนเป็นรูปไมโครโฟน) ไปแจกให้ผู้เข้าแข่งขัน กรรมการและทีมงานด้วย มันประทับใจนะ
แล้วเขาก็รู้สึกดีกับเรา…”

จะว่าไปแล้วการประกวดร้องเพลงคาราโอเกะชิงแชมป์โลกประจำปี 2005 ที่ฟินแลนด์ มีลักษณะเหมือนการประกวดร้องเพลงทั่วไปทุกอย่าง
เพียงแต่ดนตรีที่ใช้ร้องนั้นเป็นคาราโอเกะแบคคิ้งแทรก (Karaoke Backing track) ผู้เข้าแข่งขันชาย-หญิง ทั้ง 70 คน จาก 26 ประเทศ
สามารถใส่เสียงร้องและลีลาได้อย่างเต็มที่

แต่ ละชาติสามารถร้องเพลงภาษาของตนได้ โดยทางกองประกวดไม่ได้จำกัดให้ใช้เฉพาะเพลงสากลเท่านั้น อย่างไรก็ดีหากต้องการสื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ ก็ควรใช้เพลงสากลในการประกวด ซึ่งจะได้เปรียบในเชิงการให้คะแนนของกรรมการด้วย สำหรับตารางการแข่งขันรวมเบ็ดเสร็จแล้วมี 3 วัน วันแรกเป็นรอบเปิดตัวโดยเปิดโอกาสให้แต่ละชาติแสดงความเป็นชาติของตัวเองออก มา จากนั้นจึงเข้าสู่การแข่งขันชนิดเข้มข้น
แบบแพ้คัดออก

สายสุนีย์แสดงความสามารถด้วยการนำเพลงที่คัดสรรแล้วจำนวน 5 เพลง ประกอบด้วย My Way, This is the Moment, Proud Mary,
With One Look และ I Will Survive โดยเฉพาะเพลง I Will Survive
เธอขับร้องในเวอร์ชั่นภาษาอีสาน และยังสอดแทรกการร้อง-รำแบบไทย
สร้างความประทับใจให้ผู้ชมและคณะกรรมการอย่างยิ่ง

“เปิด ตัวรอบแรกเวลคัมปาตี้ เราใส่ชุดตะเบ็งมานแต่ประยุกต์ให้ทันสมัยหน่อย แล้วร้อง I Will Survive เวอร์ชั่นภาษาอีสาน เพราะรู้สึกว่ามีความเป็นไทย เหมือนเป็นการเปิดตัวให้คนจำได้ ทำให้เป็นที่สนใจ
ฝรั่งก็ร่วมสนุกร้องโห่ฮิ้วตามเรากันใหญ่

หลังจากนั้นมีผู้ชมรอดูรอถามว่าไทยแลนด์จะขึ้นเมื่อไหร่

พอ วันที่สองเลือกร้องเพลงกลางๆ แต่แอบกิ๊ฟเก๋หน่อยๆเพราะจะตัดจาก 70 เหลือ 15 คน ก็เลยร้อง My Way ทีนี้ตู้มเลย แอบแทรกภาษาฝรั่งเศสไปด้วย เพราะเราเรียนมา

ช่วงนี้ไม่ใช้ไมค์ แล้วก็ทั้งยืนและนอนร้องด้วย คนก็กรี๊ดกร๊าดกันสุดฤทธิ์

พอ รอบสุดท้ายเหลือ 5 คน ซึ่งรอบนี้เองเราพลาดท่า เสียงเดี้ยงเสียก่อน จึงได้แต่สวดมนต์ให้ผ่านไปได้แบบไม่น่าเกลียด ในที่สุดก็ได้ที่ 2
….ไม่เป็นไร

เป็นที่น่าสังเกตว่า เวทีนี้ทุกคนพยายามดึงความสามารถของตัวเองออกมาเต็มที่ เนื่องจากกติกาการให้คะแนน จะเน้นในเรื่องของ คุณภาพเสียง การร้องเข้าดนตรี ลีลาท่าทาง และความเอ็นเตอร์เทนผู้ชม

โดย เฉพาะคุณสมบัติข้อสุดท้ายเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ เพราะผู้ชนะเลิศจะมีแมวมองจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อีเอ็มไอ (EMI) มาสังเกตการณ์ข้างเวที ถ้าเข้าตาก็อาจเซ็นสัญญาให้เป็นศิลปินในสังกัดก็ได้
ข้อนี้ก็เลยให้คะแนนสูงทีเดียว

อย่างไรก็ตามได้เป็น 1 ใน 5 ของสุดยอดนักร้องคาราโอเกะโลก นับว่าที่สุดแล้วสำหรับสายสุนีย์ ด้วยเพราะกฎกติกาและผู้แข่งขันจากชาติต่างๆ นั้นใช่ว่าจะผ่านมาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นกำลังใจที่ดีจึงเป็นเคล็ดลับของความสำเร็จในครั้งนี้

“ชาติ ที่น่ากลัวก็คงเป็น แชมป์….ไอแลนด์ เขาเก่งแล้วก็เป็นตังเก็งมาตลอด ไม่ใช่ม้ามืดเลย เป็นไปตามที่คาดไว้ เสียงเขาสูงมีพลังมาก แล้วเขาก็ร้องดีด้วยแหล่ะ

ตอนนั้นถามว่ากดดันไหม ก็มีเหมือนกัน เพราะเก่งๆกันทั้งนั้น เราเองก็ถือว่าอายุก็ไม่น้อย เท่าที่ดูแล้วคู่แข่งก็ดูเสียงเด็กๆทั้งนั้น ร้องทีตู้มๆ….ตายไปเลย มันมีผลเหมือนกัน

ตอนแรกเราก็มั่นใจนะ แต่พอมาเจอแบบนี้ไม่มั่นใจเลย ก็พยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน วิธีเรียกความมั่นใจของเราก็สวดมนต์หลังเวที นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นึกถึงในหลวง แล้วก็พ่อแม่ ให้เราทำให้ดีที่สุด
เพื่อประเทศชาติ”

รางวัล สำหรับรองแชมป์การประกวดร้องเพลงคาราโอเกะโลก ที่สายสุนีย์ได้รับ มีถ้วยรางวัล และเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มากมายอะไร แต่สิ่งที่มีค่ากว่านั้น เห็นจะเป็นประสบการณ์และความประทับใจบนเวทีการประกวดที่เธอได้รับ

“ภูมิใจ กับทุกรางวัลเลยนะ เพราะได้มาด้วยความเหนื่อยยาก แต่โอกาสนี้เป็นระดับโลกก็น่าจะภูมิใจที่สุด แล้วช่วงเวลานั้นก็ทำดีที่สุดด้วย…”


ผลงานของ สายสุนีย์ สุขกฤต

ปี 2530 นักร้องยอดเยี่ยม การประกวดร้องเพลงฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย ระดับมัธยม
ปี 2534 รองชนะเลิศ การประกวดดนตรีชิงถ้วยพระราชทาน
โค๊กมิวสิคอวอร์ด ประเภทร้องเดี่ยว
ปี 2535 ร้องเพลงในตำแหน่งคอรัส บนเวทีคอนเสิร์ต เป็นเวลา 6 เดือน บ.แกรมมี่

ปี 2536 นักร้องดีเด่นแห่งประเทศไทย ในการประกวดร้องเพลงถ้วยพระราชทานชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย นิสสันอวอร์ด

ปี 2537 บริษัท วอลท์ดิสนีย์ คัดเลือกให้ร้องเพลง “วิถีชีวิต” หรือ
“The circle of life” เพลงนำภาพยนตร์การ์ตูน “เดอะไลอ้อนคิง”
ปี 2538 ร้องและพากย์บท “มิสซิสโทด” ในเรื่อง “หนูน้อยทัมเบลลีน่า”,
วอลท์ดิสนีย์
ปี 2539 ร้องและพากย์บท “เพ็ก” ในเรื่อง “ทรามวัยกับไอ้ตูบ”,
วอลท์ดีสนีย์
ร้องและพากย์บท “ริต้า” ในเรื่อง “โอลิเวอร์แอนด์คัมพานี”,
วอลท์ดีสนีย์

ปี 2540 ร้องเพลง “กลับมารักกัน” ประกอบละคร “สายรุ้ง” ช่อง 3
ปี 2541 ร้องและพากย์บท “ทาเลีย” ในเรื่อง “เฮอร์คิวลิส”,
วอลท์ดีสนีย์
ปี 2542 โรงแรมแชงกรีลา เลือกให้ร้องประจำที่ลอบบี้เป็นเวลา 1 ปี เป็นนักร้องไทยคนแรก
ปี 2543 ร้องประจำที่โรงแรมเลอรอยัลเมอริเดียน เป็นเวลา 16 เดือน เป็นนักร้องไทยคนแรก
ปี 2543 ออกอัลบั้ม “Season of love : สีสันแห่งรัก” สร้างสรรค์เพลง “ไอวิลเซอร์ไวฟ์”
ปี 2544 ร้องเพลง “ทรูธ อิน มาย ฮาร์ท” เพลงประกอบภาพยนตร์ “ข้างหลังภาพ” ร้อง/แสดง

ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน ได้รับคัดเลือกแสดงต่อหน้าพระที่นั่งหลายครั้ง ร้องถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตน์ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ สมเด็จพระพี่นางเธอกรมหลวงสงขลานครินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา (พระราชธิดาในรัชกาลที่ 6) และ ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงอุบลรัตน์

ปี 2546 ได้รับเชิญจากสุลต่านและพระชายา รัฐกลันตัน ไปร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย

ปี 2546 เพลง ไอวิลเซอร์ไวฟ์ เวอร์ชั่นอีสาน ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง สตรีเหล็ก 2
ปี 2546 ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ของ Walt Disney
เรื่อง Brother Bear

Read Full Post »

หลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่า นับเป็นผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อวงการสงฆ์ไทย เนื่องด้วยก่อนหน้ายุคสมัยของท่านนั้น การปฏิบัติของสงฆ์ในหลายๆส่วนยังเน้นที่การศึกษาตามพระไตรปิฎก และ ภาษาบาลี (คันถะธุระ) อยู่ร่วมกับฆราวาสในชุมชน (คามวาสี) เต็มไปด้วยไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา และ การสร้างวัตถุมงคลต่างๆ หลวงปู่มั่นได้พลิกฟื้นการปฏิบัติ โดยเน้นที่การปฏิบัติสมาธิภาวนา (วิปัสสนาธุระ) และ การถือธุดงควัตร เข้าสู่ป่าเพื่อฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง (อรัญวาสี) ไม่ให้ความสำคัญในการสร้างถาวรวัตถุและปลุกเสกวัตถุมงคลทั้งหลาย

โดยการนำของหลวงปู่มั่นเช่นนี้ ทำให้มีผู้เลื่อมใสและมีสานุศิษย์ผู้สืบทอดปฏิปทาของท่านเกิดขึ้นมากมายที่เรียกว่า “พระป่าสายหลวงปู่มั่น” ซึ่งปัจจุบันศิษย์ของท่านมากมายเป็นพระอริยะที่มีชื่อเสียง และเป็นครูบาอาจารย์ผู้นำแสงสว่างทางธรรมให้กับชนทั้งหลายสืบต่อมาอย่างกว้างขวาง นับเป็นการปฏิรูปการปฏิบัติของสงฆ์ไทยอย่างยิ่ง

ประวัติโดยย่อของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (จาก “คลังปัญญาไทย” www.panyathai.or.th)

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กำเนิดในสกุล แก่นแก้ว เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ที่บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน ท่านเป็นบุตรหัวปี เมื่ออายุ ๑๕ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านคำบง และต้องลาสิกขาบทออกมาเพื่อช่วยงานทางบ้านตามที่บิดาท่านขอร้อง เมื่ออายุ ๑๗ ปี

ครั้นเมื่อท่านได้อยู่ช่วยบิดามารดามานานพอสมควรแล้วอายุของท่านย่างเข้า ๒๒ ปี ท่านจึงขอบิดามารดาบวชอีก โดยไปฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ณ สำนักวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้รับการอุปสมบทกรรมเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนาในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๓๖ โดยมีท่าน พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสีทาชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านพระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับขนานนามมคธว่า “ภูริทัตโต”

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นับเป็นพระบุพจารย์ของคณะกัมมัฎฐานทั่วประเทศ ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบทำการ ก่อสร้างสิ่งใดๆ แต่ใฝ่ในการบำเพ็ญเพียรภาวนาธรรม และเที่ยวแสวงหาความสงบกลางป่าเขาลำเนาไพร ไม่ติดต่อบุคคลภายนอก แต่ปฏิปทาของท่านก็ขจรขจาย เรืองรองด้วยธรรมมะ ปรากฎเป็นที่เคารพและศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศต่างเลื่อมใสในความงดงามแห่งกาย วาจา ใจ แห่งธรรมของท่าน

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองผือ ตำบลนาใน จนมรณะภาพ พวก สานุศิษย์จึงได้นำท่านไปไว้ที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ครั้นถึงเวลา ๐๒.๒๓ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้ละสังขารภาพด้วยอาการสงบ ๘๐ ปีตลอดอายุขัยของหลวงปู่มั่น ท่านได้ศึกษาบำเพ็ญเพียรอย่างสูงส่งในธรรมของพระพุทธองค์

ในบรรดาพระเกจิอาจารย์กัมมัฏฐาน พระอาจารย์มั่นถือว่าเป็นพระอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิที่สุดในประเทศไทย ว่า เป็นอาจารย์วิปัสสนาชั้นเยี่ยม! เป็นประวัติที่หาได้ยากในสมัยปัจจุบัน ซึ่งเป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ดังที่ศิษย์พระอาจารย์มั่นได้ดีปรากฏเด่นในภายหลัง ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านเด่นขึ้นอย่างมากมาย จึงได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง 

หลวงปู่มีศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระเถระซึ่งเป็นที่เคารพของผู้คนทั้งประเทศหลายท่าน อาทิเช่น

  • หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
  • หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
  • หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
  • หลวงปู่ขาว อนาลโย
  • หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
  • หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
  • หลวงปู่ชา สุภัทโท
  • หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
  • ฯลฯ

 

 

กล่าวกันว่าหากผู้ใดได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว อวัยวะในร่างกาย (เช่น กระดูก ฟัน เส้นผม) จะกลายเป็นพระธาตุ ต่อไปนี้คือตัวอย่างพระธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริภัทโท

 

 

 

ประวัติเพิ่มเติม

ไทยวิกิซอรซเสียงเล่าประวัติหลวงปู่มั่น โดยหลวงตามหาบัว , ประวัติหลวงปู่มั่น , บ้านเรือนไทย

เว็บไซต์วัดป่าสายหลวงปู่มั่น

วัดป่าดอทคอม

Read Full Post »

Older Posts »