คำที่พูดเล่นๆ กันในวงเหล้าว่า คนเราจะสุขภาพแข็งแรงได้จนถึงวันที่รู้ผลตรวจสุขภาพนั่น มาวันนี้สำหรับผมเริ่มจะฮาไม่ออก เรื่องเกิดเมื่อมหาวิทยาลัยที่ผมกำลังจะไปเป็นลูกจ้างบังคับให้ไปตรวจสุขภาพ คราวนี้ความจริงก็เลยปรากฏผลออกมาว่าคลอเรสเตอรอลสูงกว่า 220 แถมด้วยความดันที่ค่อนข้างสูง แต่สองอย่างนี้ยังเป็นปัญหาพื้นๆ เมื่อเจอสิ่งผิดปกติอีกอย่างนึงเข้าไป
หัวใจของผมเต้นช้า “ผิดปกติ”
กราฟ EKG บอกอัตราการเต้นที่ 49 ครั้งต่อนาที ที่หมอบอกว่ามันไม่ใช่การเต้นของหัวใจที่ “แข็งแรง” แต่น่าจะเป็นความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าบางอย่างที่กระตุ้นการทำงานของหัวใจ มันก็เลยออกอาการขี้เกียจกว่าหัวใจคนอื่นๆ อยู่บ้าง อวัยวะแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกัน อวัยวะที่ตลอดมาผมไม่ค่อยรู้สึกว่ามันทำงานอยู่ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกถึงมันเต้นตุ้บ… ตุ้บ…ตุ้บได้อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนอีกหลายๆ อย่างในชีวิตนั่นแหละ เพิ่งมาเห็นค่าเอาตอนที่เขางอแง พี่เบิร์ดก็ออกมาเตือนตั้งหลายปีแล้วว่าให้หมั่นคอยดูแล ดันไม่ฟัง
หลังจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับที่ถนนพระรามสามเมื่อห้าหกปีก่อนผมตั้งใจว่าจะดูแลชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น วันนั้นถ้าอะไรๆ มันผิดมุมผิดองศาไปสักหน่อยผมอาจจะไม่ได้มานั่งพิมพ์ข้อความทั้งหลายอยู่ตรงนี้ ทุกคาบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านไปด้วยอาการครบสามสิบสองผมถือว่าเป็นกำไรชีวิต โชคดีไปกว่านั้นที่ชีวิตราบรื่น เจอแต่สิ่งดีๆ มาตลอดเวลาหลายๆ ปีหลังจากนั้น จนบางครั้งก็หลงลืมไม่ระวังปล่อยปละละเลย หลายครั้งก็กลับไปใช้ชีวิตด้วยความประมาทอย่างเต็มที่
ผมดูหนังเรื่อง The Bucket List ตอนที่นั่งเครื่องบินไปไหนซักแห่ง ด้วยความที่หนังฟอร์มไม่ใหญ่ นางเอกไม่สวย ผมก็เลยเริ่มจากการดูบ้างไม่ดูบ้างด้วยความไม่ตั้งใจ แต่สุดท้ายกลายเป็นนั่งอิน น้ำตาซึมไปกับมัน หนังเรื่องนี้พูดถึงหนึ่งเศรษฐีกับหนึ่งช่างเครื่องที่ป่วยหนักใกล้ตายที่มานอนอยู่ในโรงพยาบาลในห้องแฝดเดียวกัน ก็เลยกลายมาเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองเริ่มรวบรวมรายการสิ่งที่ตัวเองอยากทำที่เรียกว่า Bucket List (เพราะมักจะเป็นความฝันที่คิดขึ้นมาเล่นๆ แล้วก็ทิ้งลงตะกร้า) แต่ครั้งนี้พอทำรายการออกมาเสร็จ เศรษฐีก็ชวนช่างเครื่องหนีออกจากโรงพยาบาลไปทำเรื่องต่างๆ ที่คิดมาจริงๆ เช่น เที่ยวรอบโลก ขับรถแข่ง ดิ่งพสุธา ฯลฯ ตอนจบของเรื่องนี้ทำได้สวยด้วยการเช็ครายการสุดท้ายของคนทั้งคู่ออกในวิธีที่คาดไม่ถึง
วันก่อนเห็นทรูวิชั่นส์เอาหนังเรื่องนี้มารีรันให้ดูอีกที เลยนั่งดูไปกว่าครึ่งเรื่องแล้วก็ฟุ้งซ่านจิตหลอนไปเรื่อยเปื่อยว่า ถ้าผมจะตายในสามวันเจ็ดวัน จะทำ Bucket List อะไรได้บ้าง หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นการวิ่งมินิมาราธอนที่เพิ่งสำเร็จไปหนึ่งรายการ การได้ไปสอนหนังสืออาจจะเป็นหนึ่งรายการที่ดูไม่น่าตื่นเต้นมากนัก แต่ก็กำลังจะสำเร็จอีกหนึ่ง การหัดขี่มอเตอร์ไซค์ ที่ใครๆ บอกว่าโคตรง่าย นั่นก็เป็นความท้าทายอีกอย่างนึงที่น่าจะมีโอกาสได้ลอง หรือต้องลองในระยะเวลาอันใกล้
นึกถึงเพื่อนบางคนที่ล้มหายตายจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน บางที Bucket List ที่น่าทำที่สุดคงไม่ใช่เรื่องที่สนองความต้องการของตัวเอง แต่เป็นการเตรียมพร้อมให้คนข้างหลังให้ดีที่สุด เอาง่ายๆ ว่าผมยังไม่ได้แจกแจงพอร์ตหุ้นพอร์ตกองทุน ประกันชีวิต และเงินฝากเงินเม้มให้คนใกล้ตัวได้รับทราบทั้งหมดเลย ถ้าอยู่ๆ วันดีคืนดีมีอันต้องถูกอีกโลกนึงเรียกตัวไป ครั้นจะขอเวลาห้านาทีกลับมาบอกคนที่บ้านว่าอะไรอยู่ตรงไหนก็เกรงว่าเขาคงจะไม่อนุญาต เห็นทีจะต้องทำเรื่องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ให้ละเอียดซะแต่ตอนนี้
นั่งรู้สึก (ไปเอง?) ว่าหัวใจเต้นแปลก หายใจขัดๆ เหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย ฯลฯ สารพัดวิตกจริตอยู่อาทิตย์นึง กลับไปหาหมอซ้ำอีกทีที่โรงพยาบาลพญาไท หมอตรวจดูกราฟแล้วโบกไม้โบกมือบอกว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ให้ไปปรับนิสัยการบริโภคบางอย่างดูก่อน แล้วค่อยมาสแกนหัวใจอีกหนึ่งเดือน แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมกลับมาเอาจริงเอาจังกับอาหารมากขึ้น กลายเป็นคนช่างเลือกได้อย่างน่ารำคาญเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยหวังจะให้หัวใจไม่ขี้เกียจเต้นมากไปกว่านี้
ไม่น่าเชื่อ วันนี้ ลีโอกระป๋องนึงนอนแช่ในตู้เย็นก็ยังไม่กล้าหยิบมาเปิด กลัวถูกเสือกัด หรือเดือนหน้าจะต้องไปพบจิตแพทย์เพิ่มด้วยนะ
ผ่านชีวิตกันมาคนละหลายฤดูฝนแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรกันบ้าง อยากเห็น Bucket List ของพวกเราบ้างว่ะ เผื่อไอเดียดีๆ จะขอลอกหน่อย