Feeds:
Posts
Comments

Archive for December, 2008

จากหนังสือ คำภาวนาของกบ

เราชอบมากมาย…อ่านกี่ทีก็ชอบ ฝากเอาไว้ในที่นี้



เตจือเซ็น ผู้ศึกษาเซ็น

ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะพิมพ์พระสูตรให้ได้เจ็ดพันฉบับ

ซึ่งบัดนี้มีเป็นภาษาจีนแล้ว


เขาเดินทางไปทั่วประเทศญี่ปุ่น รวบรวมเงินบริจาคสำหรับงานนี้

เศรษฐีบางคนเสนอทองคำให้เขาเป็นร้อยๆ แท่ง

แต่ส่วนใหญ่ เขารับเพียงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ของชาวนา

เตจือเซ็น แสดงความกตัญญูต่อผู้บริจาคทุกคนไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินเท่าไรก็ตาม


หลังจากเดินทางได้สิบปี

ที่สุด เขาก็รวบรวมเงินทุนได้เพียงพอสำหรับงานชิ้นนี้

เวลานั้นเอง แม่น้ำยูจิเกิดน้ำท่วมหนัก คนเป็นจำนวนพันๆ ต้องไร้ที่อยู่และขาดแคลนอาหาร

เตจือเซ็น ใช้เงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมได้ เพื่อช่วยเหลือคนที่ประสบเคราะห์กรรมนี้

แล้วเขาก็เริ่มรวบรวมเงินบริจาคอีกครั้งหนึ่ง

คราวนี้อีกหลายปีทีเดียวกว่าเขาจะเก็บเงินได้เพียงพอสำหรับการพิมพ์

และก็เกิดโรคระบาดไปทั่วประเทศ

เตจือเซ็น จึงจ่ายเงินทั้งหมดที่เขารวบรวมได้ ให้กับคนที่ทุกข์ทรมาน


เขาออกเดินทางอีกครั้ง ยี่สิบปีต่อมา

ความฝันของเขาที่จะพิมพ์พระสูตรเป็นภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นความจริง

แม่พิมพ์ที่ใช้พิมพ์พระสูตรตั้งแสดงอยู่ที่อารามโอบากุในเมืองเกียวโต


ชาวญี่ปุ่นบอกกับลูกหลานของพวกเขาว่า

เตจือเซ็น ได้พิมพ์พระสูตรออกมา 3 ครั้งแล้ว

ฉบับพิมพ์สองครั้งแรก มองไม่เห็น

แต่มีคุณค่ามากกว่าฉบับพิมพ์ครั้งที่สามมากมาย

Read Full Post »

ฟังหลอนๆหน่อยนะ ของเขาขึ้นหิ้งไปแล้ว King Crimson ของฝากจากโลกกว้างแห่งดนตรี

Read Full Post »

ส่วนหนึ่งจากคำตอบหน้า 76 นิตยสาร GM ธันวาคม

“…

โลกไซเบอร์ของ Hi5 นำผู้คนจากใกล้ไกลนับหมื่นพันมารู้จักกัน

โดยไม่ต้องมีใครแนะนำ

ในขณะที่มายาซึ่งแต่ละคนแต่งแต้มคาดหวังจากภาพและข้อมูล

ก็ล้วนแล้วแต่ชวนเชื่อ กล่อมใจให้ต่างฝ่ายต่างพัฒนาความสัมพันธ์

ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ทว่า

ในความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีคุณค่านั้น

ควรดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลา

และผ่่านกระบวนการมนุษย์สัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง…”


Read Full Post »

คัดและย่อ จากนิตยสาร GM ฉบับ ธค.2008 หน้า 42


29 พฤศจิกายที่ผ่านมา เป็นวัน “แห่งการไม่ซื้อสากล” (Buy Nothing Day)
หลักการง่ายง่ายก็คือ แข็งขืนต่อโลกเศรษฐกิจเสรีนิยม ที่้เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะขับเคลื่อน
ได้ด้วยการบริโภค ซึ่งมันอาจไม่จริงเสียทั้งหมด

ความคิดนี้เริ่มต้นเมื่อปี 1992 โดยศิลปินชาวแคนา้เดียน Ted Dave ที่ต้องการสร้างจิตสำนึก
ให้ผู้คนตระหนักถึงการซื้ออย่างบ้าคลั้งในช่วงปลายปี ว่่ามันไม่ใช่ทางเลือกเดียวของการเฉลิมฉลอง
…เริ่มจากศุกร์แรกหลังเทศการ Thankgiving ซึ่งเป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดของการช๊อปปิ้ง

จากนั้นก็ขยายตัวขึ้น จัดตั้งโดยมูลนิธิ Kalle Lasn ในแวนคูเวอร์
ขยายตัวเป็นกิจกรรมใหญ่ขึ้นเรื่อยเรื่อย และขยายไปทั่วโลก
โดยกลุ่มคนเหล่านี้เชื่อว่าการไม่ซื้อของสักวัน ชีวิตก็มีความสุขได้เหมือนกัน
บางคนขยายจาก 1 วัน เป็นสัปดาห์ เดือน ปี และพวกที่อินมากมากถึงกับ ไม่ซื้อ ไปชั่วชีวิตก็ีมี

ในไทยเริ่มเมื่อปีที่แล้ว โดยกลุ่ม wee change (www.wechange555.com)
ปีนี้เป็นปีที่ 2 เริ่มจาก 21-28 ธันวาคม

หากใครอยากแต่รู้ตัวว่าทำไม่ได้ แค่ลดการซื้อลงก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย

Read Full Post »

ของฝากขาร็อค  มันดีว่ะท่าน

อันนี้ก็…เออ..เอาเข้าไป

JACOB ARMEN – BEST YOUNG DRUMMER IN THE WORLD! – MUST WATCH!

Read Full Post »

ในช่วงหลายๆปีมานี้ หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อไล่ล่าความฝันในวัยเด็กบางอย่าง ทั้งๆที่รู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้จะสร้างความยากลำบากให้กับตัวเองและคนข้างกายไม่น้อย ผมเองจะขอข้ามเรื่องของช่วงเวลาแห่งความยากลำบากไปเพราะคิดว่าการพร่ำบ่นคงไม่ช่วยให้เพื่อนๆได้เรียนรู้อะไรมากนัก แต่หลังจากได้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆมาแล้ว ผมได้มีเวลาทบทวน และสำรวจตัวเองว่ามีอะไรตกตะกอน หลงเหลืออยู่ในตัวตนของผมบ้าง วันนี้ผมขอแบ่งปัน แลกเปลี่ยนมุมมองๆหนึ่งที่มนุษย์ปุถุชนแทบทุกคนวิ่งไล่หา เป็นเรื่องของความมั่งมีในสายตาของผม

 

ผมขอแบ่งความมั่งมีเป็น 5 อย่าง เพราะเชื่อว่าถ้าใครได้มาครบก็นับได้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตยุค Digital ดังนี้ครับ

  1. ความมั่งมีทางด้านทรัพย์สินเงินทอง
  2. ความมั่งมีทางด้านสุขภาพพลานามัย
  3. ความมั่งมีทางด้านครอบครัวและเพื่อนฝูง
  4. ความมั่งมีทางด้านความสัมพันธ์กับผู้คนวงนอก
  5. ความมั่งมีทางด้านจิตวิญญาณ

 

เรื่องทรัพย์สินเงินทองคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ เราอยู่ในยุคของทุนนิยมที่สามารถใช้สินทรัพย์ตอบโจทย์หลายๆอย่างในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และมีประสิทธิภาพเสียจนเราแทบทุกคนตั้งเป้าให้มันเป็นที่สุดแห่งการแสวงหา ทั้งที่รู้ตัวและไม่ พูดง่ายๆว่ามีเงินไว้ก่อนแล้วสบายแน่ๆ

 

 เรื่องของสุขภาพนี่กำลังมาแรง เนื่องจากในช่วงเวลา 20 – 30 ปีที่ผ่านมา เราได้สัมผัสถึงรสขมหรือผลกระทบทางด้านลบของความสะดวกสบายจาก Technology ที่เราสร้างมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีต่างๆ หรืออาหารที่อร่อยปากแต่ไม่อร่อยต่อสุขภาพ น่าแปลกที่เรามีสิ่งอำนายความสะดวกมากมาย แต่ชีวิตเรากลับยุ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน แล้วเราก็เอาเรื่องของการออกกำลังกายไว้ทีหลังสุด หลังจากที่จัดสรรเวลาไปทำอย่างอื่นครบแล้วจึงจะให้เวลาเติมความมั่งมีด้านนี้ และส่วนใหญ่ก็จบลงด้วยการไม่มีเวลาเหลือพอให้กับการออกกำลังกาย พออายุมากๆเข้าก็ลำบากที่จะทำ คล้ายๆกับว่าเราวิ่งไล่หา สะสมทรัพย์สินเงินทองเพื่อไว้จ่ายค่ารักษาพยาบาลในอนาคตยังไงยังงั้น

 

อาหารการกินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งพวกเราชาว Symposium74 มีพฤติกรรมที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง นอกจากเรื่องของการกินตามใจปากแล้ว ยังมีเรื่องของการดื่ม และสูบอยู่เป็นประจำ เอาเป็นว่าถ้าเบามือได้บ้างก็จะเป็นบุญต่อสุขภาพของท่านๆเอง คิดเสียว่าเป็นการสั่งสมความมั่งมีในอีกรูปแบบนึงก็แล้วกัน จะได้ไม่เครียดมากนักเวลาที่ตั้งใจหยุดหรือลดพฤติกรรม Symposium ที่คุ้นชิน

 

เรื่องของครอบครัวและเพื่อนฝูงก็คงเป็นอีกหนึ่งความมั่งมีที่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ ในฐานะที่มนุษย์อย่างเราๆท่านๆก็เป็นสัตว์สังคมประเภทหนึ่ง เราแสวงหาความรัก ความสัมพันธ์เพื่อที่จะให้และในขณะเดียวกันก็คาดหวังที่จะได้รับมันกลับเพื่อเติมเต็มบางสิ่งบางอย่าง ทั้งๆที่ตัวผมเองแท้จริงแล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้บางสิ่งบางอย่างที่ต้องการนั้นมันคืออะไร แต่สิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนก็คือ ผมไม่ค่อยชอบอยู่คนเดียวซักเท่าไหร่ แบบว่าถ้าไม่อยู่กับแฟนก็ต้องอยู่กับเพื่อนเป็นกิจจะ ค่อนข้างกลัวความเหงา ว่างั้น

 

ส่วนข้อที่ 4 นี่ แม้ผมคิดว่าถึงจะไม่เด่นชัด และเพื่อนๆอาจจะแย้งได้ว่ามันไม่น่าถึงกับเรียกได้ว่าเป็นความมั่งมีประเภทหนึ่งได้ ส่วนตัวผมแล้วกลับเห็นว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ความสัมพันธ์กับผู้คนอื่นๆในวงนอก เช่น เจ้านาย ลูกน้อง คู่ค้า เพื่อนของเพื่อน หรือ เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ค่อยๆมีความเกี่ยวพันกับเรามากขึ้นๆ เมื่อเราเติบโตขึ้นโดยเฉพาะทางด้านหน้าที่การงาน และผมมีความเชื่อลึกๆว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นกว่านี้ สายสัมพันธ์เหล่านี้จะส่งผลกับเรามากขึ้นเช่นกัน

 

ปิดท้ายก็คงเป็นเรื่องของความมั่งมีทางด้านจิตใจ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับทัศนคติในการมองโลกมองชีวิต สุข-ทุกข์และความผ่องใสเป็นเรื่องของปัจเจก กำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ ต้องหาเหลี่ยมหามุมกันเอาเอง อันนี้ผมไม่ขอแตะต้องเพราะเรื่องนี้เป็นนามธรรม และละเอียดอ่อน เดี๋ยวจะเลยเถิดไปสู่ Topic อื่นๆ เอาเป็นว่า ถ้าผู้ใดยังมีรอยยิ้ม สายตายังเป็นประกาย เสียงยังกังวานใส ก็พอประมาณๆได้ว่า จิตวิญญาณก็ยังคงสมบูรณ์แข็งแรง สำหรับข้อนี้ถือได้ว่าผู้นั้นมั่งมีเพียงพอแล้วครับ

 

โดยรวมๆแล้ว ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนประกอบด้วยความมั่งมีทั้ง 5 ข้อนี้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันไปบ้างก็ตาม ประเด็นที่สำคัญสำหรับผมก็คือ

  • เราตระหนักหรือไม่ว่าทั้ง 5 มีผลกับชีวิตเราทั้งสิ้น
  • เราลืมไปหรือไม่ว่าในขณะที่เราวิ่งไล่หาบางอย่าง กลับต้องทอดทิ้งบางอย่าง
  • เรากำลังให้ความสำคัญกับบางอย่างมากเกินไปหรือไม่
  • สมดุลของทั้ง 5 ข้อของเราอยู่ตรงไหน

ฝากเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับชาว Symposium74 ทุกๆคน และสุดท้ายขอให้เพื่อนๆมั่งมี ดังใจปรารถนากันถ้วนหน้าครับ

Read Full Post »

เช้าอีกแล้ว  กว่าจะยอมถอนตัวขึ้นมาจากที่นอน  เหลือบดูนาฬิกาสองสามเรือนในห้องก็บอกเวลาตรงกันหมด  เอ๊ะ…แล้วเราหล่ะ  มีนัดอะไรที่ต้องรักษาเวลาไหมหนอวันนี้  ด้วยชีวิตการงานอิสระ  เจ็ดวันที่ผ่านไปในแต่ละอาทิตย์หาอะไรโดดเด่นให้จับต้องได้ยากนอกจากวันส่งงาน  ทบทวนอีกนิด  ใช่..วันนี้ต้องออกไปคุยงาน  นัดหมายไว้หัวบ่าย  นี่เพิ่งเก้าโมงเอง  ยังมีเวลาอีกพอสมควร  ทานข้าวที่บ้านก่อนดีกว่า  ประหยัดไปได้อีกมื้อ

ลังเลใจอีกเล็กน้อย  วันนี้ไม่ใช้รถดีกว่า  การเดินทางวันนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก  พึ่งพาบริการรถสาธารณะได้ไม่ยากเย็น   พ้นประตูรั้วบ้าน  สายตาก็สามารถมองเห็นรถราถนนใหญ่ได้ในทันที  ซอยที่ไร้ความคดเคี้ยวไร้ความซับซ้อน  สองร้อยกว่าเมตรก็รับรู้ความติดขัดแออัดของโลกภายนอกได้ทันตา

“เวลานี้เวลาดี  ท้องถนนปลอดโปร่งสำหรับเรา” ข้อดีเล็กๆของวิชาชีพอิสระ

หายใจลึกๆอีกครั้ง  แล้วออกเดินสู่ถนนใหญ่  ปลายทางที่มีป้ายรถประจำทางรออยู่

มีความคิดดีๆ  ลองนับก้าวเสียหน่อยดีกว่า  ฝึกสมาธิไปในตัว  หนึ่ง..สอง..สาม..

ประตูบ้านรั้วต่างๆเคลื่อนผ่านไปตามจังหวะก้าวและจังหวะการนับ  อีกหน่อยก็จะครึ่งทางแล้ว

ประตูรั้วสีเขียวทางขวามือถูกเปิดออกด้วยผู้หญิงวัยไล่เรี่ยกันคนหนึ่ง  ผมยิ้มน้อยๆให้อย่างที่ตัวเองรู้สึกว่าได้ส่งไปแล้ว  ซึ่งก็ทำอยู่เสมอกับผู้คนถ้าในขณะนั้นหัวสมองปลอดโปร่งอยู่

…ไม่แน่ใจ  ผมไม่แน่ใจ  อาการของเธอคือการทักทายตอบหรือเปล่า..  ผมแน่ใจว่าเราสบตากัน  แน่ใจว่าผมส่งรอยยิ้มเล็กๆไปให้  ผมแน่ใจว่าเธอมองผม  ผมมองผ่านภาพเบื้องหน้า

ในวัยเด็ก  ซอยที่ผมอยู่ถือเป็นซอยชานเมือง  เด็กๆครึ่งซอยที่ผู้ปกครองยอมให้มาเล่นนอกบ้านล้วนรู้จักกัน  จักรยาน  ฟุตบอล  ปีนต้นไม้  แบดมินตัน  ห่วงเชลย  บอลลูน(ถึงทุกวันนี้ก็ยังข้องใจว่าทำไมเรียกว่าบอลลูน)  ทุกอย่างเท่าที่จะสรรหากันมาเล่น  เล่นไปจนถึงลากสายยางมาฉีดน้ำกันไม่สนหญิงชาย  ซึ่งก็ไม่มีใครว่ากระไร  ปิดเทอมก็มานั่งรอรถไอสครีมโฟร์โมสต์ด้วยกัน  โตขึ้นหน่อยก็ตระเวณซอยข้างๆกัน ถือเป็นการผจญภัยกันพอเพลิดเพลิน  ปัจจุบันนี้เด็กๆเหล่านั้นกระจัดกระจายกันไปหมดแล้ว  เหลือแต่เด็กบ้านเธอและบ้านผมนี่แหละ  ที่โตขึ้นมามองตากันในปัจจุบัน

ผมและเธอเคยสนิทกันในช่วงประถมปลาย  ก็คงเพราะด้วยวัยที่เท่าๆกัน  ที่เหลือก็มีแต่ที่จะอ่อนกว่าาเราทั้งนั้น  บ้านเธอมีสระว่ายน้ำย่อมๆ ซึ่งเท่าที่จำความได้  ผมจะได้เห็นน้ำในสระก็ต่อเมื่อฝนตกเท่านั้น  ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนที่เข้าไปเล่นในบ้านเธอ  อ้อ..เธอมีน้องชายอีกคน  อ่อนกว่าเราสองสามปี  เราทั้งหมดเล่นด้วยกัน  สองสามปีนั้นก็เป็นช่วงวัยที่สนุกสนานช่วงหนึ่ง  สนุกสนานเสียจนต้องแลกกับการถูกทำโทษที่กลับเสีบมืดค่ำ

ความคุ้นเคยเริ่มมาเปลี่ยนเมื่อต่างต้องเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนมัธยม  ไม่เพียงแต่ห่างหายจากเพื่อนประถม  แม้เพื่อนร่วมซอยก็ห่างเหิน  แทบจะเรียกได้ว่าจากวันนั้นถึงวันนี้เราไม่เคยพูดจากันอีกเลย  ยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา  จำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้งที่ในใจวูบอยากทักทาย  แต่ก็ถูกดึงไว้ด้วยเหตุผลสารพัน  เกรงว่าเธอจะไม่เป็นมิตรตอบบ้างหล่ะ  เกรงว่าเธอจะเข้าใจผิดเพราะอย่างไรเธอก็ผู้หญิงบ้างหล่ะ  ผ่านพ้นซ้ำๆจนเฉยเมย

คิดเลยเถิดไปถึงคนรู้จักอื่นๆในชีวิตที่ผ่านมาพอสมควร  มีใครตกหายไปอีกไหมหนอ  คนเคยรู้จักร่วมซอย  ยังมีความผูกพันไม่ต่างจากภาพขาวดำ  ไม่มีการโต้ตอบทั้งที่มีเรื่องราว  ความผูกพันกลายเป็นสองมิติ  ความห่างเหินกลายเป็นมิติที่สามไปโดยปริยาย

เกือบถึงหน้าปากซอยแล้ว  เธอเพิ่งขับรถผ่านผมไป  ผมไม่ได้หันไปมอง  แลเห็นเธอเมื่อรถเคลื่อนผ่านไปแล้ว  และมองเธอจากด้านหลัง  คิดอยู่เหมือนกันว่า เธอจะเคยตั้งคำถามอย่างนี้บ้างหรือเปล่า

จบกัน…นี่มันเดินมากี่ก้าวแล้วเนี่ย  ผมกลับมาคิดเรื่องตัวเองอีกครั้ง

………………………………………………………………………………………………….

Read Full Post »

ฉันเป็นคนสุดท้ายในรุ่นเรา ที่รู้ข่าวนกป่วยโรคทางสมองขั้นสุดท้าย  ฉันยังจำหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มยืนพูดหน้าชั้นอย่างฉาดฉานคนนั้นได้  เราพร้อมใจกันยกให้เธอเป็นหัวหน้าชั้นตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีสุดท้าย  นกเป็นคนคล่องแคล่วไปเสียทุกเรื่อง  ที่สำคัญที่สุด  เธอเป็นคนรักเพื่อน  ฉันยังจำได้ว่าเธอช่วยติวสอบให้ฉันหนึ่งวันก่อนสอบใหญ่  ทั้งที่เธอยังไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาที่เธออ่อนอยู่เลย

นิดบอกฉันว่าหนึ่งอาทิตย์มาแล้ว  พวกเราช่วยกันพับนกไปไว้ในห้องที่โรงพยาบาล  อยากให้นกจากโลกไปด้วยดี

หมอบอกว่า “ถึงแขวนไว้  คนไข้ก็อาจไม่มีโอกาสมอง  เพราะตอนนี้เธออ่อนแอมาก”

แต่เราก็อยากทำ  เป็นกิจกรรมที่เราสามารถทำร่วมกันได้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเธอ

พวกเราไม่เคยเจอหน้ากัน  หลังจากเรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทิศต่างๆ  สร้างหลักฐานการงานและครอบครัว  นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรามารวมตัวกันในสถานที่ที่ไม่น่ามาเยือนที่สุด

ตลอดหลายปีหลังจากเรียนจบ  นกพยายามรวมพวกเรามาเจอกัน  แต่ทุกครั้งที่มีการชุมนุม  เราไม่เคยมาครบคน  อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยไป

สามีของนกบอกว่า  เธอเริ่มพับนกไม่นานก่อนเข้าโรงพยาบาล  เรารู้ว่าเธอชอบพับนกกระดาษแบบญี่ปุ่น  เธอชอบตำนานเรื่องนกกระเรียนพันตัวของเด็กหญิง ซาดาโกะ  ซาซากิ ซาดาโกะเป็นโรคลิวคีเมียที่เป็นผลมาจากระเบิดปรมาณูที่ฮิโชิมา  ผู้คนพับนกกระดาษให้ซาดาโกะเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอหายป่วย

แต่ซาดาโกะไม่เคยหายป่วย

ทีแรกสามีของนกพับนกกระดาษให้เธอ  แต่เธอเกิดความคิดใหม่  บอกว่าเธอคิดเพื่อนๆ จึงอยากพับนกให้ครบ 118 ตัว  เท่ากับจำนวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนทั้งหมด  ตั้งใจจะเขียนชื่อเพื่อนแต่ละคนบนปีกนกเพื่อให้มารวมตัวกันอีกครั้ง  ความหมายคือการบินกลับมารวมตัวกัน  เหมือนนกฝูงใหญ่ที่เคยบินไปด้วยกันช่วงหนึ่งของชีวิต  ทว่าเธอพับไปได้เพียง 2 ตัวก็เข้าโรงพยาบาลเสียก่อน

ใครคนหนึ่งเลือกแบบนกพับจากอินเทอร์เน็ต  การพับไม่ยาก  แต่การทำใจไม่ให้นึกถึงเหตุผลของการพับยากกว่านัก

เราเขียนชื่อเราไว้ที่ปีกของนกทุกตัว  ครบคน

นกกระดาษของฉันเป็นตัวสุดท้ายที่เดินทางไปถึงโรงพยาบาล

วันรุ่งขึ้นฉันก็ทราบข่าวว่าเธอจากไปแล้ว

หมอบอกว่า “เมื่อคืนนี้เธอลุกขึ้นมาดูนก  แล้วยิ้ม  ไม่กี่นาทีต่อมาก็หลับไป  จากไปอย่างสงบ”

ฉันเคยได้ยินว่า  ในนาทีสุดท้ายของชีวิต  คนใกล้ตายจะมีประสาทดีเป็นครั้งสุดท้าย  เหมือนไส้เทียนไขที่จุดสว่างเป็นเฮือกสุดท้าย  จะสุกสว่างกว่าเดิม

นี่เป็นครั้งแรกที่เราทั้งหมดพบกันหลังจากเรียนจบมานานหลายปี

นกกระดาษทั้ง 118 ตัวยังแขวนอยู่ริมหน้าต่าง  แต่นกตัวที่เป็นผู้นำฝูงบินจากไปแล้ว

ใครคนหนึ่งในหมู่เราเอ่ยว่า  บางทีต่อไปนี้  พวกเราควรพบกันทุกปี

“เห็นด้วย” หลายเสียงดังขึ้นโดยมิได้นัดกัน

…………………………………………………………………….

คอลัมน์ “ life in a day” โดย วินทร์ เลียววาริณ นิตยสาร a day ฉบับ 99 ประจำเดือน พฤศจิกายน 2551

Read Full Post »

“บ่อยครั้งที่ผมคิดว่า  โอกาสนั้นเหมือนกับอากาศ  คือ ล่องลอยอยู่ทั่วไปรอบๆ ตัวเรา  นั่นหมายความว่า  ทุกคนสามารถที่จะหายใจเอาอากาศเข้าสู่ปอดได้พอๆกัน  แต่อากาศที่ดี   อากาศที่สะอาดบริสุทธิื  สูดเข้าไปแล้วทำให้ปอดขยาย  ร่างกายสดชื่นมักลอยสูงอยู่บนยอดเขา  ยิ่งสูงขึ้นไป  อากาศก็ยิ่งบริสุทธิ์  คนที่ไม่อยากหายใจปะปนกับคนจำนวนมาก  แต่อยากได้อากาศวิเศษที่ว่า  ทำได้อย่างเดียวคือต้องปีนป่ายขึ้นไป  โอกาสเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้า”

จากคอลัมน์ “วงทนงศ์สอนน้อง” โดย วงศ์ทนง  ชัยณรงค์สิงห์  จาก นิตยสาร a day ฉบับ 99 ประจำเดือน พฤศจิกายน 2551

Read Full Post »

อ๊ะ อ๊ะ อย่าเข้าใจผิด นี่เป็นเพียงโฆษณานะจ๊ะ ออกมานานละ แต่พอดีไปเจออยู่ในเครื่อง เลยเอามาฝากกันพอกระซู่กระซ่า

Read Full Post »

ค่อนบ่าย เลยเวลาตื่นปรกติมาสามสี่ชั่วโมง  รู้สึกมึนไม่หาย  ไม่ใช่ไปสังสรรค์อันใดมา งานแรกเข้ามาตอนเกือบสี่โมงเย็น  ซัดกันไปเรื่อยจนจบแบบค้างๆเอาตอนเกือบเที่ยงคืน  ไม่ไหวขอพักสายตาหน่อยเถอะ  หลังส่งพรรคพวกที่มาทำงานไป  เลื่อนประตูบ้านปิดตัวเองอีกครั้ง  ขอบอกว่าหิวจริงๆ  หิวอย่างยิ่ง  เดินไปเปิดกระเป๋าตังค์ดู  ชั่งใจสักน้อย  ชีวิตเดี๋ยวนี้ตัวเลือกเยอะ  ก๋วยเตี๋ยวข้างทาง  ลาบส้มตำรสเด็ด   เอ๊ะ เซเว่นเขาก็มีของให้เลือกไม่ใช่น้อย  ราคาสูงขึ้นนิดนึงแต่หลายๆอย่างก็เป็นของที่เมื่อเข็มนาฬิกาตีข้ามวันจะไปหากินที่ไหนได้      ความสุขเล็กๆของคนทำงานไม่เป็นเวลาก็ไอ้เรื่องกินนี่แหละ   ก็เหลือตัวคนเดียวแล้วนี่  จะไปชักชวนใครมาร่วมโต๊ะร่วมมื้อได้เล่า  ก้มมองดูเศษกระดาษในกระเป๋าอีกทีหลังจากความคิดเพ้อไปวูบนึง  เอาวะ…ซูชิ  อ๋อ  ไม่ใช่น่าจะลงตัวที่สุดก็มาม่า(จริงๆแล้วเลือกยำยำ)  เกี่ยวมาพร้อมเต้าหู้ไข่ซีพี ไก่ย่างเทอริยากิซีพีอีกเช่นกัน(ไม่ได่โฆษณาให้เขา  แต่ชีวิตกลางคืนมันวนเวียนเช่นนี้แล)  ตกลงผ่านพ้นไปได้อีกคืน (เมื่อก่อนไม่มีเซเว่นเคยเดินออกจากซอย 3-4 ป้ายรถเมล์ เพื่อดำรงชีพยามดึก)

กลับมาที่ค่อนบ่าย  ที่เปิดเรื่อง  เวลาที่เข็มสั้นตีไปเลขสาม  ก็ไม่แปลก ก็กว่าจะเอาหัวลงบนหมอนก็เลยเถิดไปร่วมเจ็ดโมงเช้า   ฝันสารพัดเรื่อง  โทรหาเพื่อนฝูง เฮ้ย!

“มึงมี ซอฟแวร์ แบบนี้หรือเปล่าว่ะ  กูคุ้นๆว่ามึงพอจะมีนะ”

“ก้อ…กูมีแบบนี้..แบบนี้นะท่าน   ท่านจะเอามั้ย  ใช้งานได้มั้ย”

“อือ…ต้องรบกวนท่านหน่อย  แต่นี่เสียงท่านไม่ค่อยปรกติ”

“อ๋อ..ผมเป็นไข้หวัดใหญ่มาอาทิตย์นึงแล้ว”

ผมคุยกับเพื่อนผมคนนี้แบบนี้  ท่านบ้าง มึงกูบ้าง  กลายเป็นคำติดปากผมไปโดยปริยาย

“กูคงต้องหาเวลาไปดูโปรแกรมที่ฟอร์จูนหว่ะ”

“เออท่าน..ผมก็อยากไปนะแต่ไม่ไหวหว่ะ  ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากนอนว่ะ”

“พักผ่อนเถอะท่าน   มีอะไรค่อยว่ากัน”

ผมชั่งใจอีกครั้ง เอ…จะกินอาหารในบิ๊กซีดีหรือจะหาข้างทางกินดี  เพราะยังไงก็ต้องเข้าในบิ๊กซีอยู่แล้ว ที่บ้านฝากซื้อของในซุปเปอร์

แต่ยังไม่ได้ข้ามถนนที(ข้ามถนนที)  โทรศัพท์มือถือก็ส่งข่าว

“มึงจะไปฟอร์จูนวันนี้มั้ยหล่ะ กูไปด้วย  มึงมารับกูแล้วกัน  แล้วไปหาอะไรกินกันแถวนั้น”

“มึงป่วยไม่ไช่เหรอวะ”

“กูรำคาญตัวเองเต็มทีแล้ว  เป็นเหี้ยอะไรนักหนา  นอนอยู่อย่างนี้มันน่ารำคาญ”

เอ….ท่าน กับ ผม  สรรพนามมันถูกว่างเว้นไปเนาะ

ไดโดมอนมื้อนึงผ่านไป  วันนี้หัวละ 199 บาท

“เอ๊ะท่าน…เมื่อก่อนที่นี่มันซักเท่าไหร่ท่าน  มันเคยไม่ถึงร้อยมั้ย”

“ใช่  เมื่อก่อนไม่ถึง”

“อือ…จะยี่สิบปีแล้วนะ”อันนี้ผม พร่ำกับตัวเอง

เราไปร้ายขายซอฟแวร์ดนตรี จะว่าร้านประจำก็ได้  เพราะผมกับเพื่อนเสียเงินที่นี่หลักหมื่นถึงหลายหมื่นกันแล้ว  แม้บางทีเว้นช่วงเวลาไปถึงครึ่งปีก็ตาม

“เฮ้ย  เซ็ตนี้น่าใช่หว่ะ  กูเล็งมาหลายทีแล้ว  แม่งเสือกแปดดีวีดี”

“พี่ๆ เซ็ทนี้เท่าไหร่”

“อ๋อ  พันหกครับ  เอ้า  ลูกค้าประจำผมให้พันสี่แล้วกัน”

แหม่  ผมลังเล  เดือนนี้รายจ่ายเยอะ  แต่ก็ยังมาไม่จบสิ้น

“ท่าน  ผมหุ้นด้วยมั้ยท่าน”

เสียงสวรรค์  ง่ายขึ้นในการตัดสินใจ  ก็..ก.ก.ของมันน่าใช้จริงๆนี่

(ต่อให้เราหาซาวด์ที่ดีสุกกู่บนโลก  จ่ายเงินให้ห้องบันทึกเสียงที่มีเทคโนโลยีก้าวเกินเราไปสิบปี  เราก็ยังเทิดทูน เอ็มพีสามใช่มั้ย  นั่นแหละสิ่งที่ทำลายเทสต์ของคนฟังทุกวันนี้)

“ผมลดให้ แพ็กเกจดีวีดี แปดแผ่น จากพันหกผมเอาพี่พันสี่แล้วกัน  ส่วนแผ่นอื่นที่แ่ผ่นละสองร้องห้าสิบ  ผมให้พี่สองร้อย  พี่เขาลูกค้าประจำ ”

“ขอบใจคร้าบบ” ในใจผมนะ  ผมกับเพื่อนคุยกันมาหลายปีแล้ว

“กูอยากซื้อของจริงหว่ะ   กูอยากได้บริการจริงๆที่เขาซัพพอร์ต”

“เฮ้อ!…กูก็อยากได้ทุกอย่างที่มันจริงนั่นแหละ  ถ้ามันจะลดปัญหาการทำงานของคนอย่างพวกเราได้  อีโปรแกรมแครกปัญหามันเยอะ  บางทีคาดเดาไม่ได้อีก  แม่งปวดหัว  งานบางงานสั่งวันนี้พรุ่งนี้เอา แล้วเสือกฉลาดขึ้นมากระชากคอมพ์มีปัญหาส้นตีนขึ้นมาอีก  แม่งวุ่นชิบหาย”

“บ้านเราของก็อบของเลียนแบบมันโตได้ขนาดนี้เพราะ คนบ้านเรามันวัตถุนิยมท่านว่ามั้ย”

“กูว่าใช่ว่ะ  เราจ่ายเงินเพื่อเห็นสิ่งของ  เราเพิกเฉยต่อราคาความคิดของคนที่สร้างสรรค์”

“แม่ง  ทั้งที่งานโฆษณาของเราดังกระเพื่อมโลกเชียวนะมึง  ประกวดรางวัลไหนติดมือเรื่อย”

“อ้าว…แล้วใครรู้เล่าท่าน  มึงไปได้รางวัลกันอยู่ในซอกหลืบไหนวะ”

“ไอ้…  เขารู้กันทั่วโลก  มีฉลาดก็แต่บ้านเรานี่แหละ  ผู้ใหญ่เราวิสัยทรรศ์คงขวางไกลอยู้(ล้อเลียนกว้างไกล)”

“อ้าว…ท่านจะเหน็บทำไม  ท่านพูดอย่างนั้นมันก็ลำบาก  คนมันยังไม่พร้อมเลย  มันยังหิวอยู่เลย  ท่านจะมายกอะไรให้มันยากเย็น  ท่านรู้จักกฎของมาสโลว์รึเปล่า”

“มาสโลว์อีกแล้ว!  ถกกันมาไม่รู้เท่าไหร่”

“แล้วท่านว่าจริงมั้ยเล่า” เป็นท่านเป็นผมกันอีกแล้ว

“มันเถียงลำบาก  เอาเป็นว่ายอมรัยคร้าบยอมรับ  ยอมรับว่ากระแสคนส่วนใหญ่มันสำคัญ”

“เฮ้ย  มันเกี่ยวอะไรกะมาสโลว์ว่ะ”

“ขั้นสองถึงสี่ของเขา  มันเป็นเรื่องของคนอื่นไม่ใช่หรือ”

“ฮือ..”

“พอเถิดท่าน  ดื่มกันมาพอสมควรแล้ว”

“เออ..ท่านได้ดูที่เขาว่า  พระจันทร์ยิ้มหรือเปล่า”

“ได้ดูท่าน  ก็วันนั้นท่านเป็นคนส่งข่าวให้ผมเอง”

“เออ  มีเมล์เพื่อนฝูงทั่งกรุงเทพส่งความคิดเห็นกันมา  เพื่อนที่ฝรั่งเศสก็ไม่เว้น”

“แต่พอกูส่งกลับไปว่า  อือ…กูว่าน่าจะเรียกว่าท้องฟ้ายิ้มมากกว่านะ  ข่าวสารทุกอย่างแม่งเงียบไปจากกูเลย  แต่บางทีเขาก็อาจไม่ส่งอะไรกันแล้วก็ได้เนาะ”

“แหม  เรียกกันไป  พระจันทร์ยิ้ม  ดูเป็นท้องฟ้ายิ้มต่างหาก”

“เฮ้ย  กูว่ากูเมาแล้วแหละ  กูเผ่นเลยดีกว่า”

“ไปท่านไป  ผมเดินไปส่ง”

ไม่มากครั้งนักที่ผมเดินไปส่งใคร  ระยะทางเกือบสองร้อยเมตรไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใด  หรือมีคุณค่าพอจะลดทอนใดๆ   พร่ำเข้าไป  ก็แค่จะบอกว่าก็ไปส่งมันหน้าปากซอยนั่นแล  ฃ

“เฮ้ย  มึงขึ้นรถตรงนี้เลย  เดี๋ยวกูเรียกให้”

ส่งยิ้งแบบมัน  แบบเดิมๆ

“เรื่องของมึงดิ”

“มึงจะข้ามถนนทำเหี้ยอะไร”

มันยิ้มอีกที

“กู๊ดไนท์  ท่าน”  แล้วมันก็เดินไปตามทางเดิมที่มันเลือกอยู่เสมอ อย่างน้อยก็เลือกอยู่เสมอตลอดเวลาที่คบกัน

ขั้นที่ 1 ความต้องการทางกาย (Physiological Needs) คือความต้องการปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
ขั้นที่ 2 ความต้องการความ มั่นคงปลอดภัย (Safety and Security Needs) คือความต้องการที่จะมีชีวิต
ที่มั่นคง ปลอดภัย

ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม (Love and Belonging Needs) มนุษย์เมื่อเข้า
ไปอยู่ในกลุ่มใดก็ต้องการให้ตนเป็นที่รักและยอมรับในกลุ่มที่ตนอยู่

ขั้นที่ 4 ความต้องการได้ รับการยกย่องจากผู้อื่น (Self -Esteem Needs) เป็นความต้องการในลำดับต่อมา ซึ่งความต้องการในชั้นนี้ถ้าได้รับจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจใจตนเอง
ขึ้นที่ 5 ความต้องการในการเข้าใจและรู้จักตนเอง (Self-Actualization Needs) เป็นความต้องการชั้นสูง
ของมนุษย์ ซึ่งน้อยคนที่จะประสบได้ถึงขั้นนี้

มาสโลว์ได้กล่าวเน้นว่า ความต้องการต่าง ๆ เหล่านี้ต้องเกิดเป็นลำดับขั้น และจะไม่มีการข้ามขั้น ถ้าขั้นที่ 1 ไม่ได้รับการตอบสนอง ความต้องการในลำดับขั้นที่ 2-5 ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ การตอบสนองที่ได้รับในแต่ละขั้นไม่จำเป็นต้องได้รับทั้ง 100% แต่ต้องได้รับบ้างเพื่อจะได้เป็นบันไดนำไปสู่การพัฒนาความต้องการในระดับที่สูงขึ้นในลำดับขั้นต่อไป

Read Full Post »

ศักดิ์อกหักอย่างแรง  ผิดหวังอย่างมาก จนต้องไปนั่งเศร้าใจที่วัดอยู่หลายวัน  เวลาผ่านไปจนหลวงพ่อสงสัย จึงเดินเข้ามาถาม

หลวงพ่อ :  “โยม  เป็นไรล่ะ  เห็นนั่งเศร้าใจมาหลายวันแล้ว”

ศักดิ์ : “คือ…ผมผิดหวังในความรักครับหลวงพ่อ  ผู้หญิงที่ผมรักจริง  ห่วงใย  คอยใส่ใจดูแลมาตลอดกลับไม่สนใจ  ไม่แคร์ผม  เธอทิ้งผมไปครับหลวงพ่อ”

หลวงพ่อ : “อือ…คนที่น่าเสียใจควรจะเป็นผู้หญิงคนนั้นมากกว่านะโยม”

ศักดิ์ : “ทำไมล่ะครับหลวงพ่อ”

หลวงพ่อ : “ก็โยมลองคิดดูสิ  ตัวโยมเองเสียคนที่ไม่สนใจ  ไม่จริงใจไปหนึ่งคน  แต่โยมผู้หญิงคนนั้นต้องเสียคนที่รักจริง  ห่วงใย  และคอยดูแลเธอมาตลอดไปหนึ่งคน  โยมว่าอย่างไหนมีค่าและควรแก่การเสียใจมากกว่ากันเล่าโยม”

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ดัดแปลงเล็กน้อย จากหนังสือ  “ตอบปัญหาวิชาใจ”  โดย ทันตแพทย์ สม  สุจีรา

Read Full Post »

เจ้าหุ่นนี้มีชื่อย่อมาจาก Advanced Step in Innovative MObility

title โครงการพัฒนาหุ่นยนตร์ของฮอนด้า เริ่มจากความฝันที่ต้องการสร้างหุ่นยนตร์ที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ สามารถอยู่ร่วมกับสังคมมนุษย์ได้ มันจึงจำเป็นต้องมี 2 ขา มีความสามารถในการขึ้นลงบันไดและเดินบนผิวไม่เรียบ หุ่นยนตร์รุ่นแรกของฮอนด้าเปิดตัวเมื่อปี 1986 จึงมีลักษณะคล้ายขากล 2 ชา

1986 จากนั้นก็พัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นหุ่นยนตร์ที่มีลักษณะเป็นตัวคนในปี 1993

19931 และกลายมาเป็นหุ่นยนตร์ตระกูลอาซิโมเมื่อปี 2000 ซึ่งถือว่าเป็นหุ่นยนตร์ที่คล้ายมนุษย์ที่สุดในปัจจุบัน

asimo หุ่นรุ่นนี้สูง 130 เซนติเมตร สูงกว่ารุ่นก่อน 10 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถเปิดปิดประตู สวิตช์ และทำงานที่โต๊ะได้ สายตาของ อาซิโม อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของมนุษย์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ความสามารถที่ อาซิโม ทำได้ในตอนนี้ นอกจากขึ้นลงบันไดและวิ่งแล้ว (วิ่งเป็นวงกลมก็ได้นะ)  อาซิโม สามารถถือถาดเสิร์ฟเครื่องดื่มให้คนได้ เข็นรถเข็นได้

ถ้า อาซิโม ทำงานพร้อมกัน 2 ตัวก็สามารถสื่อสารกันเองได้ และเมื่อแบตเตอรี่ใกล้จะหมด อาซิโม ก็เดินไปชาร์ตเองได้ หรือจะให้ทำหน้าที่เป็นวาทยากรควบคุมวงออเคสตร้าให้คนเล่น อาซิโม ก็ทำมาแล้ว

ส่วนความสามารถทั่วไป ประเภทจำแนกจดจำใบหน้าและเสียงคนได้ 200 คน ตอบคำถามและมีปฏิกิริยากับคำสั่งของคนได้ จับมือทักทายคนที่ยื่นมือมาให้จับ หันไปทิศที่มีคนเรียกชื่อ อาซิโม ได้ หรือเดินนำแขกไปยังสถานที่รับรองได้ ถือเป็นเรื่องที่ อาซิโม ทำได้มาตั้งนานแล้ว

ปีที่แล้ว ทั่วโลกมี อาซิโม อยู่ 46 ตัว และตอนนี้มี 1 ตัวอยู่ที่บริษัทเอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียและเอเชียเนีย ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย อาซิโมนั้นไม่มีขาย แต่ที่ญี่ปุ่นสามารถเช่าไปแสดงโชว์ในงานต่างๆได้ในราคาวันละประมาณ 7 แสนบาท

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คัดลอกเนื้อหาข้อมูลจาก นิตยสาร a day ฉบับที่ 99 ประจำเดือน พฤศจิกายน 2551 ภาพประกอบจาก http://world.honda.com/ASIMO

Read Full Post »

19-21 ธันวาคม นี้ บ่ายสามถึงสามทุ่ม ที่สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเม็นต์ จำกัด(มหาชน)  ได้จัดเทศกาล  Street Show นานาชาติที่รวบรวมนักแสดงกว่า 40 คณะจากทั่วโลกมาให้ชมกันฟรีๆ เป็นครั้งแรกในเซาท์อีสต์เอเชีย!

9 เวทีเล็ก 1 เวทีใหญ่ ซึ่งนอกเหนือจาก 10 จุดรอบสวนลุมฯแล้ว  ยังมีนักแสดง walk-act เดินเล่นรอบสวนสร้างบรรยากาศสนุกสนานอีกด้วย

อาทิ

grego-show The Grego Show

นักเชิดหุ่นชาวอเมริกันที่ตระเวนแสดงในโชว์ใหญ่ๆ มาแล้วทั่วโลก จุดเด่นของเขาคือนำเอาเครื่องดนตรีมาใช้ในการเชิดหุ่น เลยเถิดไปจนถึงใช้หุ่นกระบอกเป็นเครื่องดนตรี หรือมิกซ์กระทั่งเอาหุ่นกระบอกมาเล่นดนตรีด้วย! แต่ที่น่าสนใจ คือเขาได้ผสมผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นของยุโรป เช่น เอาเครื่องดนตรีดั้งเดิมมาผสมผสาน จนกลายเป็นละครหุ่นที่มีกลิ่นอายยุคกลางอยู่ด้วย (คลาสสิกมาก!) แต่ที่แน่ๆ พี่ฝรั่งคนนี้เป็นเซเลบริตี้ตัวจริงของญี่ปุ่น เพราะเราจะได้เห็นเขาทั้งในทีวี วิทยุ งานอีเวนท์ ในเฟสติวัล ละครเวที สวนสนุก โรงเรียน หรือแม้แต่ไปโผล่ในดีวีดีของ ฮามาซากิ อายุมิ ไอดอลสาวชาวญี่ปุ่นสุดดังด้วย!

jin-masaki Jin Masaki

แค่เล่นละครใบ้ไม่พอ พี่จินแกเลยเอามายากลมารวมกันซะเลย เพราะชื่นชอบการแสดงออกทางร่างกายมากกว่าคำพูดอยู่เป็นทุนเดิม และจากความแปลกและพยายามพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอทำให้เขาเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมการแข่งขันมายากลระดับโลกที่โปรตุเกสด้วย แต่นอกเหนือจากความครีเอทีฟในการแสดง เขายังเป็นนักแสดงที่เชื่อมือได้ว่าโอกาสพลาดในโชว์แทบเท่ากับศูนย์!

edo-marionette-group EDO Marionette Group

ต้องบอกว่าไม่ควรพลาดโชว์นี้ เพราะพี่เขาหยิบเอาการแสดงโบราณของญี่ปุ่นที่หาดูยากมาเล่นให้ดูกันแบบเต็มรูปแบบ แม้จะดูออกไปทางศิลปวัฒนธรรมสักหน่อย แต่เทคนิคการเชิดหุ่นแบบโบราณนี้ก็น่าสนใจทีเดียว ถ้าจะยกตัวอย่าง เราคงเคยเห็นเทศกาลเซะซึบุงตามการ์ตูนที่พอถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ชาวญี่ปุ่นจะเอาถั่วปาไล่ยักษ์ที่ถือเป็นการไล่ความชั่วร้ายออกจากบ้าน กลุ่มนี้เขาก็หยิบสิ่งนี้มาโชว์ต่อยอดวัฒนธรรมกันด้วย

takapartch Takapartch

เห็นตู้เพลงบุบบี้ที่พี่ Takapartch อุปโลกน์เป็น jukebox แล้วอย่าคิดว่านี่เป็นโชว์ต๊อกต๋อย เพราะทันทีที่เตาหยอดเหรียญเลือกลิสต์เพลงหลากหลายที่เขาจัดไว้ให้ ทั้งเพลงการ์ตูน ซาวนด์แทร็กหนัง โฟลค์ซองหลายประเทศ เพลงคลาสสิก เพลงแจ๊ส หรือกระทั่งแต่งเอง เขาก็จะออกมาเล่นทรัมเป็ต แทมโบรีน และเชคเกอร์ให้ดูอย่างสนุกสนาน แต่ใครจะรู้ว่า จริงๆ แล้วเขาสามารถเล่นได้ทั้งเปียโน กีตาร์ เพอร์คัสชั่นและซินดิไซเซอร์เลยทีเดียว ถึงขนาดว่า เมื่อปี 2007 เขายังไปร่วมเฟสติวัลในกรุงโซลในฐานะนักดนตรีเลยนะ

nanana Nanana

การแสดงของเธอถูกเรียกว่า metamorphosis comedy หรือเข้าใจง่ายๆ ว่าเจ๊แกจะแปลงร่างไปเรื่อยๆ เพื่อพาให้ผู้ชมที่มามุงดูเธอได้ตื่นตะลึงไปกับโลกประหลาดที่เธอสร้างขึ้นจากการแปลงร่างนั้น โดยไม่ลืมนะว่าต้องขำกระจาย! ไม่ว่าจะเล่นละครใบ้ เป็นตัวตลก โชว์การทรงตัว โยนจักกลิ้งก็เป็นจะต้องฮาไปเสียทุกดอก และไม่ใช่แค่คอมมิเดียนท้องถิ่น Nanana ได้ไปสร้างเสียงหัวเราะให้ชาวฝรั่งเศส และเคยเข้าร่วมเทศกาลใหญ่อย่างAsia mime festival แล้วด้วย

james-yogi James Yogi

เมื่อ BMX ไม่ใช่แค่จักรยานในฝันของเด็กๆ อีกต่อไป เพราะสำหรับหนุ่มบราซิลเลียนคนนี้มี BMX คู่ใจในฐานะ BMX Champion เพราะเขาสามารถควบเจ้าสองล้อนี้ผาดโผนโจนทะยานได้น่าตื่นตะลึงมากที่สุดคนหนึ่งของโลกทีเดียว เขาคือชายหนุ่ม พลาดไม่ได้เป็นทีเด็ดที่เขาทั้งปั่นจักรยาน และมีอุปกรณ์เสริมเป็นตัวช่วยเพิ่มเติมดีกรีความตื่นเต้นให้มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย… ซึ่งเราขออุบไว้ให้คนดูได้ลุ้นกันตอนท้ายโชว์กันเองดีกว่า

yen-town-fools Yen Town Fools

การโชว์ตัวตลกสองคาแรกเตอร์ที่ต่างกันสุดๆ แบบคนละขั้ว แถมยังเน้นมุขตลกแบบคลาสสิกชนิดที่ตัวตลกทุกตัวในโลกนี้ยึดเป็นจารีตประเพณี แต่อย่าคิดว่าโบร่ำโบราณและคร่ำครึ เพราะเขาดึงเอาความเป็นตะวันตกและตะวันออกมาผสมกับมุขคลาสสิกนั้นๆ และปรับให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าสำคัญคือคนเคยดูต่างรับประกันว่าโชว์ของพี่สองคนนี้ขำเป้าแตก!

babymime Babymime

คณะละครใบ้ชาวไทยที่มีผลงานต่อเนื่องตลอด 10 ปีตั้งแต่เวทีเล็กๆ ไปจนถึงเวทีใหญ่ระดับประเทศของไทย คือ ละคอนใบ้ในกรุงเทพฯ (Pantomime in Bangkok) พวกเขาประกอบไปด้วยณัฐพล คุ้มเมษา ทองเกลือ ทองแท้ และ ธัชชัย รุจิพัฒน์ งานที่ถนัดคือคอมมิดี ที่ใช้แรงบันดาลใจและจินตนาการของเด็ก เน้นการแสดงแบบดูง่ายๆ เข้าใจง่าย และหยิบเอาเรื่องราวที่อยู่ใกล้ตัวมานำเสนอให้น่าสนใจและฮากระจาย

มีอีกเยอะครับ  ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก    http://www.bangkokstreetshow.com

Read Full Post »

Read Full Post »

Older Posts »