Feeds:
Posts
Comments

Posts Tagged ‘สัญจร’

หลังจากคอนเฟิร์มกับเจ้าของสถานที่เรียบร้อย ก็ขอตั้งกระทู้บอกกล่าวเชิญชวนกันเป็นทางการสำหรับซิมโพเซียมทริปครั้งที่ 5 ณ บ้านสวนจังหวัดลพบุรี วันที่ 20-21 กุมภาพันธ์นี้

ลพบุรีตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน แต่ไม่แนะนำให้มาทางนั้นเพราะอ้อมมาก (แต่ถ้านีโมจะชอบอ้อม มันก็ห้ามกันไม่ได้) เส้นทางที่แนะนำคือทางสายเอเชีย ผ่านอยุธยาตรงแยกเข้าเมืองอ่างทองแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3267 ไปห้ากิโลเมตร จะถึงแยกเจ้าปลุก ให้เลี้ยวซ้ายแล้วก็ขับไปบนทางหมายเลข 3196 ซึ่งเป็นถนนสองเลนเลียบคลองชลประทาน ตรงไปอีกประมาณสามสิบกิโลเมตร ข้ามทางรถไฟไปประมาณ 1.1 กิโลเมตรแล้วสังเกตสะพานด้านขวาที่มีรูปเป็ดห้อยอยู่ เลี้ยวขวาเข้ามาแล้วก็เลี้ยวขวาอีกทีตามถนนดินลูกรังอีก 500 เมตรจะเห็นปากทางเข้าบ้าน

บ้านสวนเป็นบ้านเก่าสองชั้นมีห้องเล็กๆ หลายห้อง สาธารณูปโภคสาธารณูปการคงสู้บ้านในเมืองหรือรีสอร์ทสวยๆ ไม่ได้ แต่น่าจะเพียงพอสำหรับการสังสรรค์เปลี่ยนบรรยากาศชั่วข้ามคืนของพวกเรา มีลานเล็กๆ หน้าบ้านสำหรับดื่มกินริมบ่อปลา ด้านหลังเป็นสวนผลหมากรากไม้ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนี้พ่อตาปลูกอะไรไว้บ้าง

นอกจากการดื่มกินเป็นงานหลักแล้ว ช่วงที่เราจะไปตรงกับเทศกาลงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์และงานราตรีวังนารายณ์ด้วย งานนี้คนลพบุรีเขารณรงค์แต่งชุดไทยทั้งเมือง มีขบวนแห่ช้าง ม้า กองทหาร และแฟนซีกันในเมืองผ่านโบราณสถานและสถานที่สำคัญของลพบุรี อย่างศาลพระกาฬกับวังพระนารายณ์ราชนิเวศน์  มีจัดแสดงวิถีชีวิตไทย การแสดงการละเล่นพื้นบ้าน แล้วก็ขายของกินขายขนมโบราณภายในวัง

หากไม่เน้นดื่มสุรามากนัก ออกไปชมงานแสงสีสวยๆ ในวังเก่าเมืองลพบุรีก่อนจะกลับมาหัวราน้ำก็น่าจะเป็นการดี หรือหากสนใจซื้อบัตรงานขันโตกและชมการแสดงแสงสีตอนกลางคืนก็น่าจะพอยังหาให้ได้ งานเลิกไม่ดึกหรอก หรือใครใคร่กลับมาเมามายก่อนก็ฟรีสไตล์ก็แล้วกัน

งานนี้ขอเชิญชาวซิมฯ ทุกท่านด้วยไมตรีจิตครับ

Read Full Post »

ความหมายของชื่อเมืิอง “สุโขทัย” สวยงามและน่าชื่นชมยิ่งนัก  ยิ่งได้เข้าชมพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ “ศรีสัชนาลัย” ยิ่งประทับใจ เป็นลำดับไป

ความค่อนจะสมบูรณ์ของวัดเจดีย์เจ็ดแถว  ทำให้ผมหยุดการถ่ายภาพนั่งมอง  จินตนาการถึงอดีต ๗๐๐ กว่าปีที่แล้วได้ไม่ยากนัก  ได้หายใจลึกๆเอาอารยธรรมที่ห่างไกลจากตัวเองยิ่งนักไว้ให้เต็มปอด  แล้วบอกตัวเองว่า  นี่คือส่วนหนึ่ง….ประวัติศาสตร์แห่งเรา

P1180085(1)

วัดเจดีย์เจ็ดแถว

P1180095(1)

ความเชื่อบนความเชื่อ

ยิ่งไปกว่านั้น  เมื่อเดินทางไปถึง  “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง” เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป  ผมต้องลดกล้องลงมาโดยรู้ตัว  แต่ก็ไม่ได้ขืนอะไร  มันเหมือนมีพลังงานบางอย่างเคลื่อนที่อยู่อย่างไรบอกไม่ถูก  รู้สึกตัวเองตัวเล็กลงอย่างใจหาย  เหมือนมีหัตถ์ยื่นมากดเราลงอย่างทะนุถนอม  ให้ความรู้สึกเราหมอบกรานลงไปเองอย่างน้อมรับโดยดี  ซักพักกว่าจะยกกล้องขึ้นเก็บรูปอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง  เมื่อย่างเท้าเข้าใกล้มากขึ้น  ผมยืนมองพระพักตร์ท่านอยู่่นาน แล้วน้ำตาก็ซึมออกมา  จนต้องกลั้นไว้ไม่ให้คนร่วมทางเห็น อธิบายความรู้สึกตรงนั้นไม่ถูกจริงๆ  ที่อธิบายได้แน่ๆคือเราตระหนักอย่างชัดเจนแล้วว่าความสวยกับความงามนั้นต่างกันอย่างไร  รู้สึกได้ทันทีว่าความงามนั้นสัมผัสได้ที่ใจเท่านั้น  ลึกๆบอกกับตัวเองขณะนั้นว่า  หากชีวิตมันต้องการความสงบนิ่งเย็นเมื่อไหร่  หน้าพระพักตร์นี่แหละคือคำตอบ

P1180163

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง

P1180181

อีกมุมของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชฃียง

ด้วยพื้นฐานไม่ได้เป็นคนโบราณคดีหรือสถาปัตยกรรมแต่อย่างใด  แต่สัมผัสกึ่งเดาเอาเองว่าลักษณะเสาที่เรียงรายเป็นแนวหน้าพระพุทธรูปนั้นน่าจะมาจากหลักเปอร์สเป็กทีฟ  ที่โน้มความรู้สึกให้เรามุ่งเข้าหาจุดร่วมจุดเดียว  ไม่ใช่เพียงจุดนำสายตาแต่เป็นจุดนำศรัทธา  เมื่อเข้าอยู่ในพื้นที่เรามิอาจจะเฉไฉออกนอกกรอบเสาเหล่านั้นได้เลย

“วัดศรีชุม” ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย  นี่ทำให้รู้สึกได้ว่าของๆเราก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่ไหนเลยจริงๆ (จากประสบการณ์เล็กๆที่มีอยู่) เออ..แต่ไม่มีคนเปรียบเทียบขนาดในรูปให้ดูแหะ

ที่นี่มีเรื่องเล่าเรื่องพระพุทธรูปพูดได้  ฟังจากคนในพื้นที่เล่าว่า  สมเด็จพระนเรศวรเคยทรงไปอยู่หลังองค์พระแล้วพูดสร้างขวัญกำลังใจทหาร  โดยที่เหล่าทหารเข้าใจว่าเป็นคำพูดขององค์พระ  อันนี้ยังไม่ได้เช็คข้อมูลนะ

P1180420(1)

วัดศรีชุม

องค์พระวัดศรีชุม

จากเบื้องล่างองค์พระ - วัดศรีชุม

จำนวนวัดมากมายที่เดินทางเยี่ยมชม  เกินกว่าจะมาเล่าสู่กันทั้งหมดได้  เลือกมาจากที่ประทับใจถึงมากมายจริงๆมาแนะนำพอได้กลิ่นอาย เมืองเก่าของเรา

P1180442

พระหัตถ์ที่ได้ชื่อว่างดงาม - วัดศรีชุม

P1180333(1)

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

เอ้า…ขอแถมรูปในงานเผาเทียนเล่นไฟเสียหน่อย  เดี๋ยวจะโบราณคดีมากเกิน  กลับมาแสงสีอย่างคนเมืองอีกครั้ง  ไหนๆก็อุตส่าห์แบกขาตั้งกล้องเดินไปเดินมาหลายชั่วโมงอยู่  เก็บภาพได้หน่อยนึงแต่ก็พอดูได้  ก็อย่าให้เสียเที่ยว

รูปแรกนี้ข้ามไปที่เกะกลางน้ำ “วัดตระพังเงิน” (ตระพังแปลว่า สระ) ถ่ายย้อนมาที่งาน  รูปสองนั้นเป็นภาพตอนปิดงานแสงเสียงยิ่งใหญ่สวยงามทีเดียว  จริงๆมีพลุปิดท้ายงานคืนนั้นอีก  ซึ่งมันจะเอามาใส่ไว้อีกก็เกรงว่าจะเยอะไปแล้ว  ปิดฉากลงเท่านี้ดีกว่า…พองามเนาะ

จากวัตระพังเงิน

จากวัดตระพังเงิน

P1180641(1)

ปิดงานแสงเสียง

Read Full Post »

สงกรานต์นี้เงียบเหงาและหดหู่ที่สุดในชีวิต อย่างที่หลายๆ คนรู้แล้วว่าผมแวะไปดอมดมหัวหินมาคืนนึง เพื่อเป็นการดูแลอารมณ์ตัวเองไม่ให้บาดเจ็บกับข่าวคราวรอบกรุงมากเกินไป หัวหินวันสงกรานต์ไม่เงียบเหงาอย่างที่คิด วิญญาณการเฉลิมฉลองของคนไทยมันเฮี้ยนเกินกว่าเหตุการณ์ใดๆ จะมาปราบได้ รถติดขบวนเล่นสงกรานต์ยาวตั้งแต่ชะอำยันหัวหิน ชายหาดยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหัวดำหัวแดง ชอปปิ้งเซ็นเตอร์ก็ยังคึกคัก แย่งกันกินแย่งกันซื้อเหมือนอย่างเคย

รอบนี้ไม่มีเรื่องทะเล ร้านอาหารหรือร้านเหล้าอย่างที่คุ้นเคยกัน แต่เรื่องราวที่เก็บมาฝากเป็นเรื่องของอีกฟากนึงของหัวหิน ไร่องุ่นหัวหินฮิลส์เป็นจุดหมายสำคัญของการมาเยือนหัวหินในคราวนี้ ผมเห็นโบรชัวร์โฆษณาไร่องุ่นหัวหินฮิลส์มาเมื่อหลายเดือนก่อน คราวนี้เลยตั้งใจจะมาเก็บข้อมูลพร้อมทำรีวิวส่ง Symposium ไปด้วยเลย ไร่หัวหินฮิลลส์อยู่ที่ตำบลหนองพลับ ลึกเข้าไปในฝั่งหุบเขาของอำเภอหัวหิน ห่างจากตัวอำเภอไปประมาณ 30 กม. จากหัวหินขับไปทางน้ำตกป่าละอูหรือวัดห้วยมงคล ทางไปเป็นถนนเส้นรองไปกลับด้านละเลน ขับสบายๆ ซักครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว (ช่วง 10 กม. สุดท้ายถนนจะเป็นหลุมเป็นบ่อและเป็นลูกรังหยาบ ต้องขับระวังๆ หน่อยถ้าไม่อยากเปลี่ยนยางกลางป่า)

cimg3555_resize

ไร่องุ่นที่นี่เป็นไร่ขนาดประมาณพันกว่าไร่ซึ่งเล็กพอที่เขาจะประกาศตัวว่าเป็น Boutique Vineyard มีร้านอาหารชื่อศาลาที่เพิ่งเปิดบริการได้ไม่ถึงปีดี เราอาจจะเคยได้ยินหรือได้เห็นไวน์ชื่อดังจากที่นี่คือ Monsoon Valley วางขายอยู่ตามร้านขายไวน์ อันที่จริงหลังจากที่รัฐออกกฎหมายห้ามทำโปรโมชั่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราก็พบว่าไวน์เมืองไทยเดี๋ยวนี้ราคาก็ไม่ได้ถูกไปกว่าไวน์นอกหลายๆ ตัวนัก อย่างไวน์ที่รสดีๆ อย่าง Pirom หรือ Chateaux de Loei (สะกดยังไงวะ) รุ่น Reserve ดีๆ ก็ขวดละเกือบๆ พัน ข่าวดีก็คือ ผมว่ารสชาติก็สู้ไวน์นอกในระดับราคาเดียวกันได้เลยนา

cimg3557_resize

cimg3559_resize

ที่นี่มีเคาน์เตอร์ให้ลองชิมไวน์ทุกประเภทที่เขาปลูกขาย ไวน์ส่วนใหญ่เป็นไวน์แดงไว้เอาใจคนไทย เห็นมีไวน์โรเซ่อยู่สองฉลาก แต่ไวน์เด็ดของที่นี่กลับเป็นไวน์ขาวที่ใช้องุ่นพันธุ์ Colombard ซึ่งจริงๆ ชื่อพันธุ์องุ่นนี้ผมก็ไม่เคยได้ยิน ในอุณหภูมิที่ผ่านการ chill มาพอดีๆ มันหอมหวานกลิ่นดอกไม้ รสอ่อนๆ สบายๆ เหมาะกับการจิบทอดอารมณ์ยามบ่าย ถ้าได้แกล้มกับข้าวเหนียวส้มตำปูปลาร้านัวๆ หน่อยน่าจะเป็นความลงตัวที่สุดยอดมากๆ เสียดายที่สั่งมาแต่ส้มตำไทยรสหวานส่งกันไม่สุดทาง ขัดใจเล็กน้อยเลยหิ้วกลับมาหนึ่งขวดในราคา 600 บาท เผื่อจะมาพึ่งใบบุญส้มตำลุงยมหรืออุบลแจ่วฮ้อนซะหน่อย

cimg3561_resize1

สาเหตุที่จานช้อนส้อมในรูปมันดูเหมือนไปซื้อของมาจากตลาดหัวหิน ก็เพราะตอนนี้เขาเปิดซุ้มข้าวเหนียวส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวและของกินพื้นๆ ไว้บริการตรงลานจอดรถ เราสามารถสั่งมากินที่ศาลาได้สำหรับผู้ที่ไม่นิยมอาหารหรูหรา หรือนิยมแต่ไม่เต็มใจจ่าย แต่อาหารที่ศาลาก็ไม่ได้จัดว่าแพงเท่าไหร่ ข้าวผัดจานละ 80 บาท ปลาหมึกคาลามารีทอด 120 บาท ถือว่ายังอยู่ในราคาที่พอรับได้

ยิ่งใกล้เที่ยงคนยิ่งเยอะ คาดว่าตอนบ่ายก็คงเต็ม ช่วงที่ผมไปนี่เป็นกลางเดือนเมษา ฟ้าเปิด แดดร้อนเปรี้ยงไปหน่อย ถ้าได้ไปตอนเย็น หรือช่วงหน้าหนาวน่าจะเหมาะกว่านี้ เห็นมีช้างอยู่สองเชือกคอยให้บริการนำเที่ยวไร่องุ่นด้วย ถ้าใครพาฝรั่งมาเที่ยวหัวหินก็น่าจะแวะมาที่นี่ซักหน่อย น่าจะชอบ

cimg3567_resize

เรียนคุณ Nemo – Omen จำรสจำกลิ่นของ Muscat Ottonel ได้อยู่ใช่ไหม 2007 Monsoon Valley Colombard อารมณ์ซึ้งกินใจแบบเดียวกันเลย… ว่างเมื่อไหร่ขอเชิญสำเร็จโทษขวดนี้โดยพร้อมเพรียงกัน

Read Full Post »

ความพยายามของมนุษย์ที่จะรักษาความสะดวกสบายที่เคยมีเอาไว้ไปพร้อมๆ กับการรักษาความน่าอยู่ของโลกใบนี้ไว้ให้นานที่สุด นำมาสู่การพัฒนาการขนส่งและการเดินทางในรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์สองข้อที่ว่าไว้ ประเทศที่มีกำลังก็ทุ่มทุนไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างระบบการขนส่งในรูปแบบใหม่ๆ ในแนวความคิดที่สอดคล้องไปกับการลดมลภาวะ ทำให้เกิดโครงการกรีนโน่นกรีนนี่ ประเทศที่ยังไม่ถึงระดับนั้นก็ต้องมุ่งเน้นกับการดูแลชีวิตปากท้องและความสะดวกสบายของประชาชนและพรรคพวกก่อนที่จะไปกลุ้มใจกับสภาพแวดล้อมของโลก โดยที่พยายามจะละเลยและไม่รับรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกัน โดยแท้จริงแล้วล้วนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น

แน่นอนว่าการขนส่งมวลชนเป็นวิธีนึงที่ช่วยลดการใช้พลังงาน การขนส่งระบบรางเป็นระบบขนส่งมวลชนที่ประเทศส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการพัฒนาด้วยเหตุที่ว่ามันสามารถขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้าได้ครั้งละมากๆ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้การขนส่งระบบรางมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากรถจักรไอน้ำสมัยเจมส์ วัตต์ มาถึงหัวรถจักรดีเซลที่ใช้น้ำมัน และก็เปลี่ยนเป็นรถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และนวัตกรรมที่ก้าวหน้าที่สุดในปัจจุบันได้แก่รถไฟพลังแม่เหล็กหรือ Maglev

Shanghai Maglev Train เป็นรถไฟ Maglev ที่เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เป็นระบบแรกของโลกเมื่อปีพ.ศ. 25471 จากการทดสอบการวิ่ง รถไฟเซี่ยงไฮ้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 500 กม./ชม. แต่ในการให้บริการจริงจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเพียงแค่ 430 กม./ชม. รถไฟวิ่งจากสนามบินผู่ตง (Pudong) เข้าเมืองเซี่ยงไฮ้2 มีให้บริการทุกๆ 15 นาที ระยะทาง 30 กม. ใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดนาทีกว่าๆ รถไฟเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้เวลา 40 วินาที เทียบเป็นอัตราเร่งก็ชิลๆ ประมาณ 0.07g ถ้ามีการเร่งแบบคงที่ คนนั่งในรถคงแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าไม่ได้ดูวิวข้างนอก

ชื่อ Maglev มาจากคำเต็มๆ ว่า Magnetic Levitation ลักษณะการทำงานก็แปลตรงตัวมาจากชื่อเลย คือใช้สนามแม่เหล็ก (Magnet) มายกให้รถไฟลอยอยู่บนราง (Levitation) รวมทั้งใช้ไฟฟ้าเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็กเพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนและหยุดรถ โดยอาศัยหลักการง่ายๆ ของการดึงดูดกันของแม่เหล็กต่างขั้ว และการผลักกันของแม่เหล็กขั้วเดียวกัน โดยจะมีชุดแผงขดลวดเล็กๆ อยู่สองข้างราง กระแสไฟฟ้าจะเป็นกระแสสลับที่เปลี่ยนทิศทางไปมาไปมาเพื่อจะเปลี่ยนขั้วสนามแม่เหล็กให้ผลักและดึงรถไฟไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา โดยแผงรางที่อยู่ข้างหน้าจะมีขั้วแม่เหล็กตรงข้ามกับแผงที่ติดตั้งบนรถเพื่อที่จะดึงดูดรถ และแผงรางที่อยู่ข้างหลังจะมีขั้วแม่เหล็กเดียวกับแผงที่ติดตั้งบนรถเพื่อทำให้เกิดแรงผลักเสริมอีกแรงนึง

maglev
รูปจาก Transportion Engineer Blog

หลักความคิดนี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับแนวคิดของรถยนต์ที่ไม่ต้องอาศัยคนขับซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1930 แล้ว เพียงแต่มนุษย์เพิ่งจะสามารถพัฒนาการควบคุมคุณภาพการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบนี้ให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อไม่นานมานี้เอง พอจะอนุมานได้ว่า มนุษย์เราอาจจะใช้เวลาไม่กี่วันที่จะฝันถึงอะไรใหม่ๆ แล้วก็ใช้เวลาอีกเจ็ดสิบกว่าปีหลังจากนั้นพัฒนาเทคโนโลยีให้ไล่ตามความฝันนั้นให้ทัน

มาดูแบบจำลองง่ายๆ กัน

ข้อดีของเทคโนโลยีแมกเลฟก็คือไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ที่ก่อให้เกิดมลพิษ ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำมัน แล้วที่สำคัญที่สุดคือประสิทธิภาพสูงเนื่องจากไม่มีแรงเสียดทานระหว่างรถกับรางซึ่งเป็นปัญหาไม้เบื่อไม้เมากับการเดินรถและซ่อมบำรุงระบบรถไฟมาแต่ไหนแต่ไร สำหรับรถไฟเซี่ยงไฮ้นี่ ตอนที่รถวิ่งจะยกตัวลอยเหนือรางเพียง 1 เซ็นติเมตร นั่นคือระยะที่แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำ (precision) และเชื่อถือได้ (reliability) ของระบบ โดยที่ไม่ใช้คนบังคับแต่มีระบบตรวจสอบและปรับแก้ตำแหน่ง ความเร็วและความเร่งด้วยการทำงานที่ซับซ้อนและละเอียดละออของคอมพิวเตอร์ เป็นอีกครั้งนึงที่มนุษย์ฝากชีวิตไว้ให้เทคโนโลยีดูแล ดูเหมือนเราจะเคยชินและยอมรับกับวิถีชีวิตแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ว่าจะเข้าไปดูรายละเอียดซักหน่อย เว็บไซต์อย่างเป็นทางการดันเป็น broken link เหมือนใครลืมจ่ายเงินต่อสัญญาเช่าพื้นที่ ซะงั้น…

เมื่อการเปิดใช้เฟสแรกได้รับการตอบรับอย่างดี และสร้างชื่อเสียงภาพพจน์เซี่ยงไฮ้ให้เป็นเมืองที่มีความทันสมัยระดับแนวหน้าของโลก รัฐบาลกลางอนุมัติให้ก่อสร้างส่วนต่อขยายไปถึงหางโจวเพื่อต้อนรับงาน World Expo ปีหน้า ทุกอย่างดูราบรื่น ประเทศได้ชื่อเสียง ผู้โดยสารได้ความสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้พลังงานสกปรก แต่ประเด็นร้อนล่าสุด3 ของระบบ Maglev นี่ก็คือ ผลกระทบต่อชาวบ้าน ไม่ใช่มลภาวะทางอากาศหรือมลภาวะทางเสียงเพราะแมกเลฟเป็นรถไฟที่วิ่งโดยไม่ก่อให้เกิดควันพิษหรือเสียงดัง แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของมันก็คือผลกระทบของสนามแม่เหล็กต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทาง แม้รถไฟแมกเลฟจะมีแผงกันสนามแม่เหล็กติดตั้งอยู่ระหว่างท้องรถกับตัวรถ และกั้นส่วนขดลวดกับด้านนอกของราง แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่ามันช่วยป้องกันผลกระทบร้อยเปอร์เซ็นต์

ขณะที่เรายังไม่ทราบแน่ชัดถึงผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กความเข้มข้นสูงที่มีต่อเนื้อเยื่อของมนุษย์ ต้นตำรับผู้คินค้นเทคโนโลยีแมกเลฟอย่างเยอรมันกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยไว้ว่าจะต้องมีระยะเว้นระหว่างรางและสิ่งก่อสร้างข้างเคียงอย่างน้อย 300 เมตร มาตรฐานจีนลดระยะนี้ให้เหลือครึ่งนึง คือ 150 เมตร แต่จนแล้วจนรอดระยะเว้นที่ว่านี่ในแบบเส้นทางบางช่วงเหลือแค่ 22.5 เมตรเท่านั้น คนก็ออกมาโวยกันดิครับ แปลกดีที่งานนี้รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็มีความเป็นประชาธิปไตย ยอมรับฟังคำร้องจากประชาชนและสั่งระงับการก่อสร้างไว้ก่อน รวมทั้งสั่งทบทวนแนวเส้นทางและแผนการสร้างแม้ว่าอาจจะทำให้ไม่มีระบบรถไฟทันใช้ในงาน World Expo ก็ตาม

ปัญหาอีกขั้นนึงของการออกแบบระบบ ไม่ได้อยู่แค่ที่ประสิทธิภาพและความเร็วของรถไฟ แต่เป็นระบบขนส่งเชื่อมต่อและการจัดการที่สถานีด้วย นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเซี่ยงไฮ้อาจจะไม่พลาดการขึ้นแมกเลฟสักครั้ง แต่สำหรับชาวเมืองเองหรือคนที่มาเซี่ยงไฮ้อยู่เป็นประจำ เขาจะเลือกขึ้นแมกเลฟมากกว่านั่งแท็กซี่ล่ะหรือ นักธุรกิจคนหนึ่ง4ลองวิเคราะห์ให้คิดว่าถ้าบ้านเขาอยู่ห่างจากสถานีรถไฟสี่กิโลเมตร การนั่งรถแท็กซี่ไปสถานี เพื่อหอบข้าวของสัมภาระไปรอรถไฟและหอบข้าวของลงจากรถไฟไปเช็คอิน เทียบกับการนั่งรถแท็กซี่ไปสนามบินโดยตรงเลย อย่างหลังดูจะสะดวกและคุ้มค่ากว่า คงเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เราคงไม่ขับรถไปสุวรรณภูมิเพื่อไปยืนต่อแถวรอเช็คอินขึ้นเครื่องไปหัวหินหรืออู่ตะเภา ในอเมริกาก็เลยตั้งข้อกำหนดว่าจะนำระบบแมกเลฟมาพิจารณาสำหรับการเดินทางระหว่างเมืองที่มีระยะทางตั้งแต่ 100 ถึง 600 ไมล์ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นระยะทางเป้าหมายที่เหมาะสมกับการลงทุนและความคุ้มค่าของเวลาในการเดินทาง การออกแบบระบบก็ต้องให้ความสำคัญกับผังสถานี การเชื่อมต่อ สิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการอื่นๆ ด้วย นี่คงเป็นข้อพิสูจน์อีกครั้งว่าเทคโนโลยีและการจัดการเป็นศาสตร์และศิลป์ต้องพึ่งพาอาศัยกันตลอดเวลา

ตอนนี้หลายๆ ประเทศกำลังศึกษาและออกแบบระบบ นอกจากที่อเมริกาก็ยังมี เยอรมัน ญี่ปุ่น อังกฤษ เวเนซูเอล่า อินเดีย และปากีสถาน รู้สึกเกาหลีจะเปิดระบบระยะทางสั้นๆ ทดลองวิ่งแล้วเหมือนกัน

ระหว่างที่ประเทศจีนกำลังแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งเรื่องรถไฟแมกเลฟเพื่องาน World Expo บ้านเราก็มารอลุ้นรถไฟฟ้าไปสนามบินสุวรรณภูมิไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน ปีหน้าจะได้เห็นมั้ยว้า…

แหล่งอ้างอิง
1 Wikipedia
2 Transrapid
3 International Herald Tribune
4 Actual Speed of Maglev

Read Full Post »

เมื่อกลางสัปดาห์อาจารย์ป้องชวนไปสอนที่ม. เทคโนฯ สุรนารี ขาไปอาจารย์ป้องให้ความอนุเคราะห์ส่งราชรถมาเกย แต่สอนเสร็จต้องหาทางกลับเอง ลูกศิษย์ลูกหาแนะนำว่าอาจารย์กรุณาไปที่บขส. แล้วนั่งรถประจำทางกลับจะสะดวกรวดเร็ว แต่กูก็ดื้อ บังเอิญอารมณ์ค้างมาตั้งแต่คราวไปไทรโยคแล้ว ไม่รู้เป็นไง อยากขึ้นรถไฟเหลือเกิน ก็เลยขอให้เขามาส่งที่สถานีรถไฟนครราชสีมา เลยได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวมาฝากกัน
(ปัญหานิดหน่อยสำหรับทริปนี้ มันเกิดขึ้นแบบไม่ตั้งใจ กูเลยไม่ได้เอากล้องมาด้วย รูปทั้งหมดที่เห็นนี่กูเลือกที่พอดูได้มาจากกล้องมือถือทุกรูป ถ้ามีคราวหน้าจะเตรียมพร้อมกว่านี้)

 

imag0017_resize

 

cimg3489_resize

 

กูตรงเข้าสถานีรถไฟนครราชสีมา นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงครึ่ง แต่ดันซื้อตั๋วรถไฟเที่ยว 12:30 น. ได้ เอาเถอะ ขึ้นรถไฟกลางทางแบบนี้มีที่เหลือให้กูก็นับว่าโชคดีมากแล้ว หมายเลขขบวน 136 รถเร็วขบวนนี้จะหยุดเฉพาะสถานีใหญ่ๆ ที่มีคนซื้อตั๋วล่วงหน้าเท่านั้น ตู้รถไฟเป็นตู้ บชท หรือโบกี้ชั้นโท (ชั้นสอง) ไม่มี ป ปรับอากาศมีแต่พัดลมเก่าๆ ที่น่าจะอายุมากกว่าผู้โดยสารเกือบทุกคน

imag0026_resize

 

 


    ตะวันบ่ายร้อนแรงทอแสงกล้า
    หนึ่งคืนเหินหนึ่งวันห่างจากกานดา ได้เพลามุ่งคืนสู่นิวาสสถาน
    ม้าเหล็กควบผ่านรางที่ราบสูง พ่วงลากจูงขบวนรถไฟสายกลับบ้าน
    ขออำลาราชสีมาที่พบพาน ประสบการณ์อีกบทหนึ่งของชีวิต
    ฉึกฉักหวูดฉึกฉักวี้ดกรีดเหล็กลั่น เสียงจักรผันกระทบรางดังกลางจิต
    ปล่อยใจโหยโบกโบยไปในความคิด แม้ตัวไกลแต่ใจชิดสนิทนาง
    ถึงสูงเนินเนินไม่สูงดังคำกล่าว มีชุมชนมีเรื่องราวที่แตกต่าง
    หลากชีวิตดำเนินไปสองข้างทาง โรงงานร้างสวนเกษตรเขตกำแพง
    ถึงสีคิ้วทิวทัศน์งามปานวาด พู่กันปาดสีนภาฟ้าอ่อนแสง
    สีเขียวเหลืองในทุ่งใหญ่ไหวทแยง เส้นเรียวแบ่งเรื่อขอบฟ้าทาสีทอง

 

 

 
นครราชสีมา หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าโคราช เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย คำว่าโคราช สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า นครราช หรือ Angor Riaj ในภาษาเขมร ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับโคๆ วัวๆ อย่างเพลงของคุณพงษ์เทพแกว่าไว้หรอก
จากเว็บไซต์ของอำเภอสูงเนิน บอกว่า เดิมเรียก บ้านสองเนิน เพราะมีเนินติดอยู่สองฟากบึง มีผู้คนไปตั้งบ้านอยู่เป็นหมู่บ้านเดียวกัน เลยเรียกว่า บ้านสองเนิน แล้วก็เพี้ยนมาเป็น สูงเนิน
นามสกุลคนโคราชนี่มีที่มาจากอำเภอและตำบลที่อยู่กันซะเป็นส่วนใหญ่ อำเภอสูงเนิน นี่แต่ก่อนก็คงเป็นเมืองใหญ่ คนเยอะ เราก็เลยคุ้นตากับหลายนามสกุลที่ลงท้ายด้วยสูงเนิน ส่วนคนที่อยู่สีคิ้วก็มีไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไหร่ เพียงแต่เขาไม่ได้ใช้คำว่าสีคิ้ว แต่ใช้ จันทึก ซึ่งเป็นชื่อเดิมของอำเภอนี้ สันนิษฐานว่าช่วงที่เขาเปิดให้ไปจดนามสกุลกัน ที่นี่คงยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชื่อสีคิ้ว แต่ใช้ชื่อเดิมกันอยู่ นามสกุลที่มีคำลงท้ายที่มาจากชื่ออำเภออื่นๆ ก็มีอยู่เยอะ อย่าง ในเมือง (สำหรับคนอยู่อำเภอเมือง) พิมาย (ด่าน)ขุนทด กระโทก (ชื่อเดิมของอำเภอโชคชัย) หรือ ครบุรี (ก๊อต จักรพันธ์ นั่นแหละ)

imag0029_resize

 

imag0034_resize


    ทางถนนทางรถไฟห่างไกลลิบ ร้อยแปดสิบคือองศาระหว่างสอง
    ทอดขนานคนละฝั่งลำตะคอง ฤทัยหมองดั่งไร้ทางบรรจบกัน
    ที่ปากช่องรถไฟล่องลอดช่องเขา ต้องบรรเทาเบาความเร็วอย่าหุนหัน
    ดิ่งลงเนินช่องทางแคบช้าเร็วนั้น ไม่สำคัญขอเพียงผ่านไปด้วยดี
    ถึงมวกเหล็กเห็นทิวสวนป่าสัก รัฐหวังนักทรัพยากรสร้างสุขี
    องุ่นงามในไร่กว้างหว่างคีรี ม้าพ่วงพีวัวเป็นหมู่ดูเพลินตา
    ผ่านหินลับสถานีอันลึกลับ เคยสดับอนุสรณ์กบฏกล้า
    ประวัติศาสตร์ไร้บันทึกผู้อปรา อีกหนึ่งหน้าหนึ่งธุลีที่หายไป
    รถทิ้งโค้งหลังโรงปูนพ้นแนวป่า สุดสายตาคือแก่งคอยชุมทางใหญ่
    แก่งเจ้าเอยเจ้าจะอยู่คอยผู้ใด แสนล้านคนเพียงผ่านไปไม่ใยดี


 
 
เรื่องของสถานีหินลับและกบฏบวรเดช กูแต่งตามความเข้าใจจากการอ่านหนังสือ ภู-มี-ศาสตร์ ของบินหลา สันกาลาคีรี อาจมีถูกมีผิด ไม่ขอยืนยันข้อเท็จจริง
ชื่อ “แก่งคอย” ได้ชื่อมาจากบริเวณแก่งที่คนสมัยก่อนต้องมาคอยเรือที่จะล่องทวนน้ำขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์ ตามแม่น้ำป่าสัก อำเภอแก่งคอยนี่ว่ากันว่าสมัยก่อนเป็นที่ที่คนนิยมมาพักผ่อนรับอากาศบริสุทธิ์ แต่หลังจากที่รัฐให้สัมปทานโรงปูนสองสามแห่งมาระเบิดภูเขา ที่นี่ก็หมดสภาพความน่าอยู่ไปพร้อมๆ กับการแจ้งเกิดของมวกเหล็กและปากช่องที่เข้ามาทำหน้าที่แทน ส่วนชุมทางที่นี่เป็นทางแยก (หรือทางเชื่อม แล้วแต่ใครจะมอง) จากกรุงเทพฯ ไปลำนารายณ์ซึ่งเป็นสายทางท่องเที่ยวยอดนิยมที่ข้ามเขื่อนป่าสัก อีกแยกหนึ่งมุ่งหน้าไปโคราช (ทับกวาง) และแยกสุดท้ายสามารถลงไปเส้นทางสายชายฝั่งทะเลตะวันออก (แหลมฉบัง – มาบตาพุด) ได้อีกด้วย
 


    เลียบป่าสักสระบุรีที่ประสบ สองมือนบอภิวาทพระบาทศรี
    เมืองรอยต่อเชื่อมอีสานกลางพอดี ในวันนี้เพียงทางผ่านแวะพักใจ
    เสียงประกาศสถานีบ้านป๊อกแป๊ก ยินชื่อแปลกวิปริตผิดวิสัย
    แหล่งลำเลียงพลังงานเดินทางไกล ขบวนใหญ่ใส่น้ำมันเตรียมออกจร
    เมื่อมาถึงหนองสีดาข้านึกหวน สีดาควรคู่รามาพระทรงศร
    ตัวข้าเป็นเพียงไพร่พลวานร บุญปางก่อนได้สีดามาชื่นชม
    ถึงหนองแซงคิดแซงใครอย่าได้หวัง อ่อนพลังแค่ถึงที่ก็ดีถม
    ม้าเหล็กโรยคนล้าเอื่อยเรื่อยลอยลม เพียงได้ชมโลกมุมใหม่สมใจเรา
    เข้าเขตเมืองกรุงเก่าดูเข้าที บ้านภาชีนี้ทำพี่ใจเศร้า
    หากยังมีครุมาบรรเทา เภสัชคนเก่าพี่ยังรักเธอเสมอ

 

 

(กูว่าแล้ว… ขอถอนคำพูดดีกว่าครับท่านประธาน ทั้งบทนั่นแหละ เอาใหม่ข้างล่างนะครับนะ)

    เข้าเขตเมืองกรุงเก่าบ้านภาชี มิได้มีเพียงหมู่บ้านอันเงียบเหงา
    ชุมทางเอกรวมผู้คนต่างลำเนา ทุกค่ำเช้าคลาคล่ำคนนองเนือง

  

 

 

 imag0038

ชุมทางบ้านภาชี เป็นจุดแยกระหว่างทางรถไฟสายเหนือ กับสายตะวันออกเฉียงเหนือ ที่กิโลเมตรที่ 90 จากสถานีกรุงเทพ(หัวลำโพง) ถูกสร้างขึ้นเป็นชุมทางแรกในจำนวนชุมทางสิบหกสถานีของระบบรถไฟไทยในปัจจุบัน


    อยุธยาธานีงามตามยอยศ ล่มด้วยคนคิดคดกำหนดเรื่อง
    มรดกไทยจงรักษ์พิทักษ์เมือง ให้ลือเลื่องมลังเมลืองระเรืองรอง
    บางปะอินถิ่นนี้มีตำนาน ดังเล่าขานพระเอกาพาเรือล่อง
    พบนางอินกำเนิดพระปราสาททอง ไอศวรรย์งามสูรย์ส่องกลางวารี
    มินานช้ารถเทียบท่าที่รังสิต ให้ข้องจิตพรหมลิขิตขีดวิถี
    แม้นพบเจ้าแห่งนี้ก่อนหลายขวบปี ฤๅชีวีปรีดิ์เปรมดั่งปัจจุบันกาล
    มองกรุงเทพเมืองอมรที่ดอนเมือง คงเป็นเรื่องแปลกแต่จริงนามสถาน
    ดอนแห่งเมืองน้ำท่วมถึงได้ทุกกาล สนามบินแห่งวันวานจวนสิ้นใจ
    นภางามยามสิ้นแสงสุรีย์ เห็นหลักสี่อยู่เบื้องหน้าอารมณ์ไหว
    อันตัวเราฤๅเป็นเช่นรถไฟ วัยวารใกล้หลักสี่ที่กลางชนม์
    ถึงบางเขนเห็นไฟระยิบยับ เมื่อดาวดับเดือนไม่ส่องกลางเวหน
    ไฟเมืองกรุงยังสว่างนำทางคน เคล้าปะปนจากต่างถิ่นต่างครรลอง
    ณ ชุมทางบางซื่อคือปุจฉา เหตุไฉนซื่อแล้วมาแบ่งเป็นสอง
    หนึ่งขึ้นเหนืออีสานตามใจปอง หนึ่งกลับล่องลงทักษิณถิ่นนรา
    แม้นเผลอไผลแยกแตกไปหลายทางนัก แต่ใจภักดิ์ซื่อตรงจิตกนิษฐา
    มอบอาวุธสุดทางที่กัลยา ร่วมทุกข์สุขทุกทิวามิคลาดคลาย
    เสียงโปรดทราบโปรดทราบว่าที่นี่ สถานีสามเสนเป็นจุดหมาย
    ไม่ช้าคงถึงเรือนรักเอนพักกาย เหนื่อยก็คลายหนักก็เบาเจ้าบันดาล

 

 

การเดินทางครั้งนี้มาถึงสถานีปลายทางเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที ถ้าเวลาเป็นเงินเป็นทองจริงอย่างที่เขาว่า ทริปนี้กูก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากที่เดียวเมื่อเทียบกับการนั่งรถบขส. ที่กูจะสามารถปิดม่านซ่อนตัวจากโลกภายนอก หลับเก็บแรงรวดเดียวสามชั่วโมงกว่าๆ ก็คงจะมาถึงหมอชิตแล้ว แต่กูว่าการใช้จ่ายเวลาไปกับรถไฟคราวนี้เป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่ามากๆ ใครที่ยังร่ำรวยเวลาอยู่ก็ขอเชิญออกไปใช้จ่ายกันซะบ้าง แล้วอย่าลืมเอาของกลับมาฝากกันหน่อย


    ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร
    ไม่อาจประสบพบสุข
    ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก
    ได้ชื่อว่าชั่วมัวเมา

 

 

 
บทกลอนยอดนิยมที่ตัดตอนมาจากหนึ่งในยี่สิบสี่เรื่องของนิทานเวตาล กลายมาเป็นบทเปิดและบทปิดของบันทึกการเดินทางสมัครเล่นและอาชีพหลากหลายฉบับ พร้อมกับแนวความคิดที่บอกต่อๆ กันมาว่าจุดหมายไม่สำคัญเท่าประสบการณ์ที่ได้ในระหว่างทาง
แต่ในช่วงหนึ่งของชีวิต กูกลับค้นพบว่าช่วงที่ดีที่สุดของการเดินทาง คือการได้กลับมาสู่จุดเริ่มต้น กลับมาสู่คนที่รอคอย


    ฟ้ากว้างพร่างดาวพราวพราย เรื่อแสงจันทร์ฉาย
    สงบใต้ชายคาเคยคุ้น
    พันลี้เพื่อพานพบคุณ หนึ่งยิ้มอิ่มอุ่น
    ไยต้องไขว่คว้าอื่นใด

 
  

 

สุดท้าย ผบ.ทบ. บ่นว่ามีแต่กลิ่นเหล็กๆ (ไม่ใช่กลิ่นเด็กๆ) เต็มหัวไปหมด นั่นเป็นข้อควรระวังของการโดยสารรถไฟแบบไม่มีแอร์

Read Full Post »

วันก่อนมีภาระต้องไปประชุมต่างบ้านต่างเมือง นึกเบื่อบรรยากาศการนั่งรถแท็กซี่ไปสุวรรณภูมิขึ้นมา สำรวจดูข้าวของสัมภาระรอบตัวก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะดิ้นรนซักหน่อย เลยตัดสินใจอาศัยบริการ ขสมก ที่เหินห่างมานานซะหน่อย กูใช้บริการทั้งขาไปขากลับนั่นแหละ แต่มีแค่ตอนขากลับเท่านั้นที่นึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะถ่ายรูปมาฝากกัน

อ่ะ มาดูกัน จากสุวรรณภูมิ กลับบ้านยังไงไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่แพงๆ ไม่ยากอย่างที่คิด

สมมติว่าวันนี้เป็นวันดี ผ่าน ตม. มาอย่างรวดเร็ว กระเป๋าเราวิ่งมาเป็นใบแรกบนสายพาน เอาล่ะ หยิบกระเป๋าออกมาแล้วใช่มั้ย เดินออกมาเห็นป้ายรถโดยสารเข้าเมืองที่ชี้ให้ลงไปชั้นล่าง ด้านล่างก็เป็นทางเลือกนึงที่จะนั่งรถโดยสารเข้าเมืองได้ แต่มันจะเป็นรถประจำทางแบบ Airport Express ค่าโดยสารร้อยห้าสิบบาทถ้วน มาเปรียบเทียบกันว่าที่กูจ่ายน่ะ ถูกกว่าเท่าไหร่

ขั้นแรกอย่าไปหลงเชื่อป้าย ตั้งสติให้มั่นถ้าไม่อยากจ่ายเงินแพง ไปที่ประตูห้า ชั้นสาม (ผู้โดยสารขาเข้า) หรือชั้นสี่ (ผู้โดยสารขาออก) ก็ได้

cimg3471_resize

ปกติเราจะออกมาจากสนามบินที่ชั้นสาม การเดินตรงไปรอรถที่ประตูห้าของชั้นเดียวกันน่าจะเป็นทางเลือกที่สะดวกที่สุด เคล็ดลับตรงนี้อยู่ที่ ถ้าเป็นช่วงเช้ามืด กรุณาออกแรงซักหน่อย ขึ้นไปรอที่ชั้นสี่แทน เพราะจะไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับกลุ่มคนที่เพิ่งเลิกกะทำงานที่สุวรรณภูมิ

คราวนี้กูเดินขึ้นชั้นสี่ มาออกที่ประตูห้า แล้วก็เจอป้ายรถเวียน (Shuttle Bus) นี่

cimg3472_resize

 

รอไม่กี่นาทีรถก็มาแล้ว

cimg3474_resize

 

รถเวียนนี่จะมาเวียนส่งคนขาออกที่ชั้นสี่ก่อน แล้วก็ลงไปรับคนขาเข้าที่ชั้นสามต่อ รถเวียนเป็นบริการฟรีของสนามบิน เป็นระบบเชื่อมต่อเพื่อขนคนไปที่ Bus Terminal ที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อย

cimg3475_resize

 

มาถึงที่ Bus Terminal

cimg3479_resize 

รถเมล์ปรับอากาศไปสุวรรณภูมิมีหลายสาย อ้างอิงจาก http://th.wikipedia.org/
สาย 549 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – มีนบุรี – บางกะปิ
สาย 550 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – แฮปปี้แลนด์
สาย 551 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
สาย 552 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – คลองเตย
สาย 553 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – สมุทรปราการ
สาย 554 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ถนนรามอินทรา – อู่รังสิต
สาย 555 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ถนนวิภาวดีรังสิต – อู่รังสิต
สาย 556 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (สายใต้)
สาย 558 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาพระราม 2
สาย 559 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ถนนรังสิต-นครนายก – อู่รังสิต
หมายเหตุ ใน Wikipedia ก็มีข้อผิดพลาดบ้างนิดหน่อย อย่างค่าโดยสารนี่ไปบอกว่าเป็น 35 บาท หรือสาย 551 ไปถึงพาราก้อน ซึ่งจริงๆ มันสิ้นสุดระยะที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เท่านั้น แล้วที่วงเล็บไว้ว่าทางด่วนนี่ก็มากันตามพื้นราบธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้บริการการทางพิเศษแต่อย่างใด

กูขึ้นรถคันนี้ เลยถ่ายไว้อีกรูปก่อนขึ้น มียามมาเดินๆ ทำหน้าเข้ม ถามว่าจะถ่ายรูปไปไหน กูบอกว่าจะถ่ายไปอนุสาวรีย์ชัยฯ

cimg3481_resize

 

จุดหมายอนุสาวรีย์ชัยฯ จริงๆ จ่ายไปแค่ 34 บาท ตั๋ว 34 บาทไม่มี ก็เลยต้องใช้ตั๋วสองใบบวกๆ กัน

cimg3487_resize

 

รถก็ใหม่ แอร์ก็เย็น วิ่งก็ไม่ช้าเท่าไหร่ แต่ไม่มีใครใช้บริการ

cimg3482_resize

หนึ่งชั่วโมงต่อมาก็มาถึงอนุสาวรีย์ นั่นคือปริมาณเวลาที่จะต้องเผื่อไว้ ต่อรถไฟฟ้าอีกนิดก็ถึงแล้ว หรือถ้ากูจะเลือกนั่งแท็กซี่ที่นี่ก็ยังถูกและไม่เสียค่า airport charge อีก 50 บาท

ขาไปกูก็ทำแบบเดียวกันในทิศตรงข้ามเท่านั้นแหละ

แปลกที่เมื่อก่อนเราใช้รถเมล์กันโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ไปซื้อของ ไปบ้านเพื่อน ไปไหนต่อไหนก็ได้ทั้งเมือง พอมาตอนนี้ทำไมชีวิตมันต้องพึ่งรถส่วนตัวกับแท็กซี่เยอะขนาดนั้นวะ

ไว้ว่างๆ กูจะลองเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ดู แล้วจะกลับมารายงาน

Read Full Post »

ทริปปีใหม่ของสมาชิก Freelance ไปชมความงามธรรมชาติ และ สัมผัสความหนาวยะเยือก ณ ภูหินร่องกล้า และ ภูทับเบิก ขอเก็บบรรยากาศมาให้ชมกัน

dscf4620

 

 

 

 

 

 

หน้าผาใกล้ผาชูธง มองเห็นทิวเขาและพื้นพิภพไกลสุดสายตา เจ้ามนุษย์น้อยเป็นเพียงผงธุลี

dscf4632

dscf4648ลานหินปุ่ม ธรรมชาติแปลกตา

 

 

 

 

 

dscf4657สมาคมอมควัน แสดงการพ่นควันบุหรี่รูปครึ่งวงกลม

dscf4659

 

 

 

 

 

 

ตั้งฐานบนยอดภูทับเบิก

dscf4667

ค่ำคืนเหน็บหนาว ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา ที่พึ่งพิงอันสำคัญคือกองไฟ

dscf4675

 

 

 

 

 

 

 

 

dscf4693รุ่งอรุณ

dscf4706

 

 

 

dscf4698

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กว่าจะบรรลุถึงยอดได้ ต้องผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยวมากหลาย เหมือนกับชีวิตคนเรา

dscf47011

 

เครื่องดื่มยามเช้า

dscf4714

 หนาวๆแบบนี้ ทำให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของแสงอาทิตย์

dscf4711

 

ตั้งแต่มี Symposium กันมานี่ รู้สึกว่าจะไปออกทริปกันบ่อยดีจริง คาดว่ารอบหน้า จะตามมาเร็วๆนี้ล่ะ

Read Full Post »

สุดแสนโรแมนติก

Pai 09

Pai 10

จุดโคมยี่เป็งกันอย่างมีความสุขเหนือลำน้ำ

Pai 11

มีดอกไม้ไฟเสริมบรรยากาศ ความสุขล้นตลิ่ง

หวังว่าได้ชมของฝากแล้ว จะนึกตะหงิดๆอยากพาใครซักคนไปเสพบรรยากาศเหล่านี้บ้างนะ

Read Full Post »

รับปากMining Old Man ไว้ ก็มัวแต่โอ้เอ้ ตอนนี้ได้ฤกษ์แล้ว

MaeHongSon1

วัดจองคำและวัดจองกลางยามหัวค่ำ

MaeHongSon2

อันนี้มุมไกล

Pai 01

มหกรรมป้ายบอกทางเอกลักษณ์หนึ่งแห่งการมาถึงเมืองปาย ที่ขาดเสียมิได้

Pai 02Pai 03

Pai 04

Pai 05Pai 06

ร้านอาหาร ร้านขนม และร้านหนังสือ เก๋มากครับ

Pai 07

สะพานไม้ไผ่ข้มแม่น้ำปายแหล่งรวมกิจกรรม บรรยากาศสุดชิลล์

Pai 08

่ดอกไม้(จำชื่อไม่ได้แล้ว) ขึ้นอยู่ริมแม่น้ำปาย

Read Full Post »

คลิกเพื่ชม Slide

คลิกเพื่อชม Slide

Read Full Post »

ทริปเล็กๆ ของคนตกงาน แวะไปชมบรรยากาศภาคกลาง เมืองสุพรรณ เก็บภาพมาฝากพรรคพวกไว้ดูกัน

มาถึงก็บ่ายคล้อย ไหว้พระก่อนเอาฤกษ์เอาชัยที่วัดป่าเลไลยก์ อันมีชื่อเสียง

วัดป่าเลไลย์

หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์พระคู่เมืองสุพรรณ สร้างมาตั้งแต่สมันอู่ทอง(อยุธยา) สูงถึง 27 ม. สวยงาม ดูสงบน่าเลื่อมไสจริงๆ

หลวงพ่โต

ด้านหลังโบสถ์ยังมีหลวงพ่อดำ ที่คนมักไปกราบไหว้และเสี่ยงทายโดยการยกหิน (ใหญ่มาก) หรือ ช้างเสี่ยงทาย คาดว่าเดิมคงใช้หิน แต่มันคงใหญ่มาก เลยเปลี่ยนมาเป็นช้าง เผื่อจะพอมีหวังบ้าง

 เสี่ยงทาย

ภาพที่บานประตู

ด้านข้างวัดมีภาพวาดชุดใหญ่ เรื่องราวของขุนแผนแสนสะท้าน ยาวรอบวัดเลยทีเดียว วาดได้สวยงามมาก

ภาพขุนแผน

ไหว้พระแล้ว ต่อด้วยไหว้เจ้าที่ศาลหลักเมือง ที่ปรับปรุงใหม่เป็นสไตล์จีน เคียงข้างด้วยพิพิทธภัณฑ์ลูกหลานมังกรจีน

หลักเมืง

ออกจากเมืองมุ่งสู่สมรภูมิประวัติศาสตร์แห่งการกอบกู้อิสระภาพชาติไทย ณ.ดอนเจดีย์ เข้าชมสถูปองค์จริง สัมผัสได้ถึงบรรยากาศการรบโบราณเลย

ดนเจดีย์

ตกเย็นแวะชมตลาดสามชุก เหมือนได้ย้อนไปเมื่อสมัยเด็กๆอยู่บ้านนอก ตลาดเก่าที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัดสุพรรณไปแล้ว แวะชิมอาหารพื้นบ้านอย่าง หมูแดดเดียว รสชาดดี แต่สาโทหวานไปหน่อย ก่อนกลับบ้านได้คมแฝกไม้พยุงมาเป็นของเล่นอีกอัน

สามชุก1

สามชุก2

สามชุก3

สามชุก4

สามชุก5

สามชุก6

Read Full Post »

Ubonratn

นี่คือเรื่องราวสุดท้ายที่กล้องมีปัญญาจับภาพได้

Read Full Post »

ครั้งหนึ่ง DamLogger เอ่ยถึงพลังธรรมชาติ เอ่ยถึงความเป็นส่วนน้อยนิดในจักรวาล ผมคาดว่าครั้งนั้นผมเข้าใจโดยไม่มีเงื่อนไขและคำถาม  แต่จากวันที่ผ่าน ท่ามกลางคลื่นลมและห่าฝนของธรรมชาติ ความรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น  ผมไม่รู้หรอกเรื่องความปลอดภัย  ด้วยอาจจะเพราะมิใช่หน้าที่และอาจเพราะไม่ได้เข้าใจในสถานะการณ์มากมายนัก  จึงยินยอมพร้อมใจและเปิดประตูรับอย่างเต็มภาคภูมิ  ในขณะที่ Survey Man กังวลใจในความเป็นอยู่ของผม แต่ผมกลับอิ่มเอมยิ่ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่นี่แหละที่ทำให้ผมรับรู้ถึงบางอย่าง  อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ขนาดจักรวาล  อย่างน้อยก็โลกเรานี่แหละ  คิดว่าครั้งนี้มีความใกล้เคียงมากขึ้นกับการสัมผัสพลังงานแห่งโลกอย่างอย่างที่ ที่ DamLogger เคยอ้างถึง  มันมากกว่าผิวที่ไหม้เกรียมไปบ้าง มากกว่าความเปียกปอนที่กระจายไปทั่ว  ผมเชื่อว่าผมได้สัมผัสบางอย่างจริงๆ (จากมุมมองคนเมืองนะ)

Read Full Post »

รูปจากกล้องผมเอง เก็บมาฝากกันนะ (โปรดสังเกต ว่าไม่มีรูปทำงานเลย 555) 

Click เพื่��ชม��ัลบั้ม

Click เพื่อชมอัลบั้ม

Read Full Post »

ริมฝั่งน้ำแห่งเขื่อน อุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เรายืนมองเรือพาหนะที่เราต้องพึ่งพาและฝากชีวิตไว้ ราวเก้าโมงเช้าเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นถูกแขวนเกี่ยวตรึงไว้อย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ขณะนั้น   Survey Man กำลังจะพาผมที่ตั้งใจจะร่วมทางไปในฐานะผู้สื่อข่าวเพื่อสำรวจน่านน้ำในเขื่อน โดยฝากความหวังไว้กับพ่อใหญ่(ตามที่ Survey Man เรียก) ชายสูงวัยแต่ก็ไม่มากจนเกินไป

เรือหางยาวโครงสร้างเหล็กพาเราออกสำรวจพื้นที่น่านน้ำแห่ง อุบลรัตน์ ความกังวลก่อตัวขึ้นแต่เมื่อคืนที่เรามาถึง  ที่นี่มีพายุเข้ามาสองสามวันแล้วตามคำบอกเล่าของคนในพื้นที่  แม้แต่แพที่ล่มไม่เป็นยังไม่อาจหักหาญ

เราสามคน Survey Man ผม และนายท้ายเจ้าของท้ิิองที่  ตัดกระแสคลื่นเข้าสู่ที่หมายตามที่ Survey Man ได้วางแผนไว้  เก้าโมงเช้าที่ไร้แดด  ราวกับพระพิรุณจัดสรรกองทัพหมู่เมฆมาเรียงรายตั้งท่าคอย  ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ฝนเริ่มลงเม็ด และถี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นเริ่มแรง   Survey Man ตัดสินใจ คุยกับพ่อใหญ่ตัดฝ่ากระแสฝนกระแสลมสู่ทิศทางที่แลเห็นว่าฟ้าสว่างพอทำงานได้  งานเริ่มเดินและเข้าที่  ผมในฐานะผู้สื่อข่าวเก็บภาพเก็บเรื่องราว มิอาจให้ความช่วยเหลือใดๆแก่ Survey Man  แถมยังแอบงีบหลับชั่วครู่ชั่วคราวจนกระทั่งเรือเหล็กกระทบชนเข้ากับตอไม้เอียงวูบให้ตื่นสร่างขึ้นมา  หลุดฝนแล้วในพื้นที่ของเรา  แต่เมื่อหันกลับยังคงเห็นเมฆที่คุกรุ่นทำหน้าที่ชำระผืนโลกอยู่เบื้องหลัง  เวลาล่วงจน สิบเอ็ดโมงครึ่ง Survey Man เสนอให้เข้าฝั่งก่อนเพื่อเติมสารอาหาร(ข้าวมันไก่)เข้าท้อง และเพื่อบำบัดเบาให้เสร็จสิ้น  เรามีระยะทางต้องไปอีกมิใช่น้อย                                                                                       

แดดสาดทะลุตามผืนเมฆได้บ้างแม้ไม่มากมาย  แต่ความแรงก็ยังคงรักษาอานุภาพให้เราเจ็บแสบได้ไม่น้อย  ผืนแล้วผืนเล่าที่เราตระเวณไป หากจะแบ่งท้องน้ำเป็นผืนซอยย่อย  ผมพูดคุยกับ Survey Man ไม่มากนัก  แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาคือ “Survey Man”

เราเดินทางไปไกลเกินกว่าที่นายท้ายของเราคาดคิด  ได้เรียนรู้ที่เรามองคนบ้านๆว่าไม่ประสีประสาอะไรเช่นคนเมือง  คงต้องระบุแล้วว่าอะไรที่ว่านั้นคืออะไร  พ่อใหญ่ให้ข้อมูลกับเราอยู่ตลอดว่าตรงไหนลึกตื้นอย่างไร  แนวอย่างนั้นมีอวนนะ  ทางโน้นคลื่นใหญ่นะ  ไม่แวะดูตรงนั้นหรือลึกนะ และอีกสารพัดที่แกจะคอยบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มๆซื่อๆ จนบางทีดูเหมือนเป็นข้อมูลไม่สำคัญอะไร แต่ช่วยการตัดสินใจของเราได้ไม่น้อย(ไม่น่าใช้ เรานะ เพราะทุกการตัดสินใจอยู่ที่ Survey Man ทั้งสิ้น)  ผมเชื่อว่าแกไม่เข้าใจหรอกในแผนที่ที่ Survey Man ยกให้แกดู ดูแกไม่สนใจด้วยซ้ำ  จะไปทางไหนก็ว่ามา  Survey Man จะโบกมือตามทิศที่ต้องการ พ่อใหญ่ก็จะดำเนินตาม  ไม่จำเป็นต้องสู้เสียงเรือแต่ประการใด  โชคดีจริงๆที่เราได้กองทัพเมฆช่วยทอนแสงแดด  เรามีเพียงร่มหนึ่งคันที่ตัดสินใจเกี่ยวมาจากตลาดเมื่อเช้า และอีกคันจากน้ำใจพ่อใหญ่ที่ติดไม้ติดมือมาเผื่อ

เวลาล่วงจนเย็น  Survey Man ของเรามีข้อมูลการตัดสินใจมากพอ  จากทางเหนือของเขื่อน  เรากลับมาที่จุดตั้งต้น  แล้วเริ่มต้นหาข้อมูลทางใต้ของเขื่อน  ตลอดระยะทางที่ผ่านมา  บางช่วงในเวิ้งน้ำ  เราสามารถมองเห็นแนวฝนรอบตัวได้ถึงสามแนว  ในขณะที่เราปลอดฝน  อดคิดไม่ได้ว่าคนเมืองเช่นผมจะมีโอกาสซักกี่มากน้อยจะได้สัมผัสภาพเช่นนี้

จวบจนใกล้ปลายทาง  แนวฝนอยู่ข้างหน้า  แต่นั้นเป็นทิศทางของงานที่  Survey Man ต้องเก็บข้อมูล สิบกิโลเมตรจากระยะทางงาน เราไปได้เพียงค่อน  พ่อใหญ่เตือนเราด้วยน้ำเสียงเดิมๆจากประสบการณ์ถึงอันตรายหากดื้อดึง  แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด  เราวิ่งไปตามแนวทางที่ใช้ทำงาน  Survey Man หันมาพูดคุยมากขึ้น ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไป  เรากำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่แนวฝนที่เคลื่อนตัวมาหาเราเช่นกัน  ท้องน้ำเริ่มปรากฎคลื่นหัวขาวโดยรอบ  ความหนักหน่วงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  จนพ่อใหญ่เอ่ยปากอีกครั้ง  Survey Man ตัดสินใจสั่งเก็บเครื่องมือ สั่งเดินทางกลับ  แต่สั่งไปก็มีแต่ Survey Man เก็บเครื่องมือ  ก็ผมเป็นผู้สื่อข่าวนี่หน่า  คลื่นลมโจมตีแรงขึ้นเรื่อยๆ  เรือโยกคลอนไปมาขณะที่ Survey Man เก็บเครื่องมือ

ราวกับพระพิรุณจ้องมองมหานทีมาทั้งวัน  เกณฑ์นำหมู่เมฆมาตั้งเค้าทั่วทั้งผืนน้ำ  ในที่สุดพระพิรุณก็ลงมือโบยตีมหานที  แต่ละเม็ดแต่ละหยาดราวกับแค้นเคืองกันมา  ใครถูกกระทำเช่นนี้ย่อมต้องเกรี้ยวกราดตอบ  สายนทีก็ไม่มีเว้น  แรงคลื่นแรงลมสาดซัดแสดงอารมณ์ตอบโต้  จนพ่อใหญ่ตัดสินใจหลบเข้ายังฝั่งเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง  เกาะเล็กๆที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชะอุ่ม  ภายใต้ผืนน้ำที่เราเหยียบสัมผัสแม้เพียงครึ่งน่องปูนุ่มไปด้วยสีเขียวแห่งพืชน้ำ  ขณะที่ทั้งฟ้าและน้ำรุนแรงต่อกันก็ยังคงดินที่มอบความอ่อนโยนพึ่งพิง

พระพิรุณประกาศศักดาไม่หยุดหย่อน  มิหนำซ้ำเพิ่มขึ้นทวีคูณ  พ่อใหญ่ส่งผ้าใบให้ผมเพื่อคลุมหลบฝน  ผมรับมาแล้วเรียก Survey Man ให้เข้าหลบฝนด้วยกัน  Survey Man ตัดสินใจจะเก็บข้าวของเครื่องไม้เครื่องมือไถ่ถอนการยึดตรึงทุกอย่าง  สายตาของ Survey Man ตอนที่บอกผมว่า       “ผมไม่เป็นไร”  ทำให้ผมหวนนึกถึงคราวค่ายที่เราเคยร่วมครั้งสมัยอยู่มหาวิทยาลัย  ผมลุกออกมาเพื่อช่วยงานที่เกินหน้าที่สื่อสารมวลชน  ทั้งที่ในใจก็มีคำถามวูบถึงความจำเป็นในเวลานั้น แต่ก็ไม่คิดถามและเลือกที่จะดำเนินต่อไป  และก็ได้คำตอบหลังจากงานครั้งนั้นเสร็จสิ้น

มองไปรอบตัว  ผืนน้ำที่เคยกว้างใหญ่ถูกจำกัดด้วยปริมาณเม็ดฝนดังหมอกขาวทึบหนา  พ่อใหญ่ลุกออกจากผ้าใบฝ่าไปปลดแหที่ติดใบพัดเรือ  นานแล้วทีเดียวที่ผมไม่ได้อยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างเต็มใจเช่นนี้  ไม่ได้สัมผัสหยาดศรแห่งพิรุณที่เจ็บแปลบราวกับตั้งใจจะชำแรกเนื้อกัน  ถัดมาในนาทีที่พ่อใหญ่บอกกับเราว่ากลับตอนนี้ได้แล้ว  ฝนยังคงกินพื้นที่ครอบคลุมไปทั่ว  ท้องน้ำก็ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้น  ท้องฟ้าก็เปิดให้เห็นความหวังไกลๆ  เราเก็บเครื่องมือเรียบร้อย ขึ้นเรือและพร้อมเดินทางอีกครั้งกับคนที่เราฝากชีวิตไว้แต่แรก

ไม่เลย  ในเมื่อพิรุณไม่ลดละ  นทีย่อมไม่ลดแรง  ตลอดทางฝ่าทั้งคลื่นและฝน  สมรภูมิแห่งสายน้ำที่มีเราเป็นเพียงผู้ผ่านทาง มันหนักหนาเกิดกว่าจะคิด เกาทัณฑ์แห่งฟ้าให้เจ็บปวด  คลื่นอารมณ์แห่งนทีให้สูญเสียความมั่นใจ  สงครามระหว่างท่าน  ไยเราต้องรับผิดชอบ

หัวเรือคือ Survey Man   ท้ายเรือเราคือพ่อใหญ่ งานลุล่วงเกินกว่าที่คาด  ท่ามกลางสายฝนที่เหมือนตั้งใจจะกดหัวให้จำนน  ท่ามกลางคลื่นลมที่เหมือนตั้งใจให้เราเบี่ยงเบนจนแทบจะล่มลงไป  ความมุ่งมั่นของคนมีแต่ต้องฝ่าไปจึงจะถึงฝั่ง

ขอทิ้งท้ายสักนิด Survey Man สุดท้ายท่านก็มีชัย  ยินดีด้วยครับ

งานนี้ต้องขอบคุณ DamLogger สำหรับโอกาสดีๆ  Survey Man สำหรับการตัดสินใจทั้งหมดนี้ และ EkkeMan ผู้เติมสีสันและความอารมณ์ดีตลอดรายการ เยี่ยมจริงๆ

Read Full Post »

Older Posts »