ริมฝั่งน้ำแห่งเขื่อน อุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เรายืนมองเรือพาหนะที่เราต้องพึ่งพาและฝากชีวิตไว้ ราวเก้าโมงเช้าเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นถูกแขวนเกี่ยวตรึงไว้อย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ขณะนั้น Survey Man กำลังจะพาผมที่ตั้งใจจะร่วมทางไปในฐานะผู้สื่อข่าวเพื่อสำรวจน่านน้ำในเขื่อน โดยฝากความหวังไว้กับพ่อใหญ่(ตามที่ Survey Man เรียก) ชายสูงวัยแต่ก็ไม่มากจนเกินไป
เรือหางยาวโครงสร้างเหล็กพาเราออกสำรวจพื้นที่น่านน้ำแห่ง อุบลรัตน์ ความกังวลก่อตัวขึ้นแต่เมื่อคืนที่เรามาถึง ที่นี่มีพายุเข้ามาสองสามวันแล้วตามคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ แม้แต่แพที่ล่มไม่เป็นยังไม่อาจหักหาญ
เราสามคน Survey Man ผม และนายท้ายเจ้าของท้ิิองที่ ตัดกระแสคลื่นเข้าสู่ที่หมายตามที่ Survey Man ได้วางแผนไว้ เก้าโมงเช้าที่ไร้แดด ราวกับพระพิรุณจัดสรรกองทัพหมู่เมฆมาเรียงรายตั้งท่าคอย ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ฝนเริ่มลงเม็ด และถี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นเริ่มแรง Survey Man ตัดสินใจ คุยกับพ่อใหญ่ตัดฝ่ากระแสฝนกระแสลมสู่ทิศทางที่แลเห็นว่าฟ้าสว่างพอทำงานได้ งานเริ่มเดินและเข้าที่ ผมในฐานะผู้สื่อข่าวเก็บภาพเก็บเรื่องราว มิอาจให้ความช่วยเหลือใดๆแก่ Survey Man แถมยังแอบงีบหลับชั่วครู่ชั่วคราวจนกระทั่งเรือเหล็กกระทบชนเข้ากับตอไม้เอียงวูบให้ตื่นสร่างขึ้นมา หลุดฝนแล้วในพื้นที่ของเรา แต่เมื่อหันกลับยังคงเห็นเมฆที่คุกรุ่นทำหน้าที่ชำระผืนโลกอยู่เบื้องหลัง เวลาล่วงจน สิบเอ็ดโมงครึ่ง Survey Man เสนอให้เข้าฝั่งก่อนเพื่อเติมสารอาหาร(ข้าวมันไก่)เข้าท้อง และเพื่อบำบัดเบาให้เสร็จสิ้น เรามีระยะทางต้องไปอีกมิใช่น้อย
แดดสาดทะลุตามผืนเมฆได้บ้างแม้ไม่มากมาย แต่ความแรงก็ยังคงรักษาอานุภาพให้เราเจ็บแสบได้ไม่น้อย ผืนแล้วผืนเล่าที่เราตระเวณไป หากจะแบ่งท้องน้ำเป็นผืนซอยย่อย ผมพูดคุยกับ Survey Man ไม่มากนัก แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาคือ “Survey Man”
เราเดินทางไปไกลเกินกว่าที่นายท้ายของเราคาดคิด ได้เรียนรู้ที่เรามองคนบ้านๆว่าไม่ประสีประสาอะไรเช่นคนเมือง คงต้องระบุแล้วว่าอะไรที่ว่านั้นคืออะไร พ่อใหญ่ให้ข้อมูลกับเราอยู่ตลอดว่าตรงไหนลึกตื้นอย่างไร แนวอย่างนั้นมีอวนนะ ทางโน้นคลื่นใหญ่นะ ไม่แวะดูตรงนั้นหรือลึกนะ และอีกสารพัดที่แกจะคอยบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มๆซื่อๆ จนบางทีดูเหมือนเป็นข้อมูลไม่สำคัญอะไร แต่ช่วยการตัดสินใจของเราได้ไม่น้อย(ไม่น่าใช้ เรานะ เพราะทุกการตัดสินใจอยู่ที่ Survey Man ทั้งสิ้น) ผมเชื่อว่าแกไม่เข้าใจหรอกในแผนที่ที่ Survey Man ยกให้แกดู ดูแกไม่สนใจด้วยซ้ำ จะไปทางไหนก็ว่ามา Survey Man จะโบกมือตามทิศที่ต้องการ พ่อใหญ่ก็จะดำเนินตาม ไม่จำเป็นต้องสู้เสียงเรือแต่ประการใด โชคดีจริงๆที่เราได้กองทัพเมฆช่วยทอนแสงแดด เรามีเพียงร่มหนึ่งคันที่ตัดสินใจเกี่ยวมาจากตลาดเมื่อเช้า และอีกคันจากน้ำใจพ่อใหญ่ที่ติดไม้ติดมือมาเผื่อ
เวลาล่วงจนเย็น Survey Man ของเรามีข้อมูลการตัดสินใจมากพอ จากทางเหนือของเขื่อน เรากลับมาที่จุดตั้งต้น แล้วเริ่มต้นหาข้อมูลทางใต้ของเขื่อน ตลอดระยะทางที่ผ่านมา บางช่วงในเวิ้งน้ำ เราสามารถมองเห็นแนวฝนรอบตัวได้ถึงสามแนว ในขณะที่เราปลอดฝน อดคิดไม่ได้ว่าคนเมืองเช่นผมจะมีโอกาสซักกี่มากน้อยจะได้สัมผัสภาพเช่นนี้
จวบจนใกล้ปลายทาง แนวฝนอยู่ข้างหน้า แต่นั้นเป็นทิศทางของงานที่ Survey Man ต้องเก็บข้อมูล สิบกิโลเมตรจากระยะทางงาน เราไปได้เพียงค่อน พ่อใหญ่เตือนเราด้วยน้ำเสียงเดิมๆจากประสบการณ์ถึงอันตรายหากดื้อดึง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด เราวิ่งไปตามแนวทางที่ใช้ทำงาน Survey Man หันมาพูดคุยมากขึ้น ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไป เรากำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่แนวฝนที่เคลื่อนตัวมาหาเราเช่นกัน ท้องน้ำเริ่มปรากฎคลื่นหัวขาวโดยรอบ ความหนักหน่วงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนพ่อใหญ่เอ่ยปากอีกครั้ง Survey Man ตัดสินใจสั่งเก็บเครื่องมือ สั่งเดินทางกลับ แต่สั่งไปก็มีแต่ Survey Man เก็บเครื่องมือ ก็ผมเป็นผู้สื่อข่าวนี่หน่า คลื่นลมโจมตีแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือโยกคลอนไปมาขณะที่ Survey Man เก็บเครื่องมือ
ราวกับพระพิรุณจ้องมองมหานทีมาทั้งวัน เกณฑ์นำหมู่เมฆมาตั้งเค้าทั่วทั้งผืนน้ำ ในที่สุดพระพิรุณก็ลงมือโบยตีมหานที แต่ละเม็ดแต่ละหยาดราวกับแค้นเคืองกันมา ใครถูกกระทำเช่นนี้ย่อมต้องเกรี้ยวกราดตอบ สายนทีก็ไม่มีเว้น แรงคลื่นแรงลมสาดซัดแสดงอารมณ์ตอบโต้ จนพ่อใหญ่ตัดสินใจหลบเข้ายังฝั่งเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เกาะเล็กๆที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชะอุ่ม ภายใต้ผืนน้ำที่เราเหยียบสัมผัสแม้เพียงครึ่งน่องปูนุ่มไปด้วยสีเขียวแห่งพืชน้ำ ขณะที่ทั้งฟ้าและน้ำรุนแรงต่อกันก็ยังคงดินที่มอบความอ่อนโยนพึ่งพิง
พระพิรุณประกาศศักดาไม่หยุดหย่อน มิหนำซ้ำเพิ่มขึ้นทวีคูณ พ่อใหญ่ส่งผ้าใบให้ผมเพื่อคลุมหลบฝน ผมรับมาแล้วเรียก Survey Man ให้เข้าหลบฝนด้วยกัน Survey Man ตัดสินใจจะเก็บข้าวของเครื่องไม้เครื่องมือไถ่ถอนการยึดตรึงทุกอย่าง สายตาของ Survey Man ตอนที่บอกผมว่า “ผมไม่เป็นไร” ทำให้ผมหวนนึกถึงคราวค่ายที่เราเคยร่วมครั้งสมัยอยู่มหาวิทยาลัย ผมลุกออกมาเพื่อช่วยงานที่เกินหน้าที่สื่อสารมวลชน ทั้งที่ในใจก็มีคำถามวูบถึงความจำเป็นในเวลานั้น แต่ก็ไม่คิดถามและเลือกที่จะดำเนินต่อไป และก็ได้คำตอบหลังจากงานครั้งนั้นเสร็จสิ้น
มองไปรอบตัว ผืนน้ำที่เคยกว้างใหญ่ถูกจำกัดด้วยปริมาณเม็ดฝนดังหมอกขาวทึบหนา พ่อใหญ่ลุกออกจากผ้าใบฝ่าไปปลดแหที่ติดใบพัดเรือ นานแล้วทีเดียวที่ผมไม่ได้อยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างเต็มใจเช่นนี้ ไม่ได้สัมผัสหยาดศรแห่งพิรุณที่เจ็บแปลบราวกับตั้งใจจะชำแรกเนื้อกัน ถัดมาในนาทีที่พ่อใหญ่บอกกับเราว่ากลับตอนนี้ได้แล้ว ฝนยังคงกินพื้นที่ครอบคลุมไปทั่ว ท้องน้ำก็ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้น ท้องฟ้าก็เปิดให้เห็นความหวังไกลๆ เราเก็บเครื่องมือเรียบร้อย ขึ้นเรือและพร้อมเดินทางอีกครั้งกับคนที่เราฝากชีวิตไว้แต่แรก
ไม่เลย ในเมื่อพิรุณไม่ลดละ นทีย่อมไม่ลดแรง ตลอดทางฝ่าทั้งคลื่นและฝน สมรภูมิแห่งสายน้ำที่มีเราเป็นเพียงผู้ผ่านทาง มันหนักหนาเกิดกว่าจะคิด เกาทัณฑ์แห่งฟ้าให้เจ็บปวด คลื่นอารมณ์แห่งนทีให้สูญเสียความมั่นใจ สงครามระหว่างท่าน ไยเราต้องรับผิดชอบ
หัวเรือคือ Survey Man ท้ายเรือเราคือพ่อใหญ่ งานลุล่วงเกินกว่าที่คาด ท่ามกลางสายฝนที่เหมือนตั้งใจจะกดหัวให้จำนน ท่ามกลางคลื่นลมที่เหมือนตั้งใจให้เราเบี่ยงเบนจนแทบจะล่มลงไป ความมุ่งมั่นของคนมีแต่ต้องฝ่าไปจึงจะถึงฝั่ง
ขอทิ้งท้ายสักนิด Survey Man สุดท้ายท่านก็มีชัย ยินดีด้วยครับ
งานนี้ต้องขอบคุณ DamLogger สำหรับโอกาสดีๆ Survey Man สำหรับการตัดสินใจทั้งหมดนี้ และ EkkeMan ผู้เติมสีสันและความอารมณ์ดีตลอดรายการ เยี่ยมจริงๆ
Read Full Post »