ใครที่หวังไว้จากตัวอย่างหนัง ว่าจะได้้เห็นความสดใสของสองสาวเต็มไปหมดทั้งเรื่องนั้น อาจจะผิดหวังอยู่ สุดท้ายก็ยังมีความเป็นดราม่าอยู่ไม่น้อยทีเดียว ไอ้ความสดใสน่ารักนั้นก็มีแต่น้อยกว่าปริมาณที่หลายคนคาดหวังแน่ๆ ไอเดียที่ใส่ในหนังก็เข้าท่าทีเดียวนะ ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลก เราก็หนีกฎของโลกนี้ไม่ได้ มีแต่ต้องยอมรับไม่ใช่จะวิ่งหนี นี่คงจะเป็นความเกี่ยวเนื่องที่อ้างอิงถึงกาลิเลโอ นอกเหนือจากสถานที่แล้ว
แต่เสียดายอยู่หน่อยตรงที่การเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดหรือสารที่ต้องการส่งนั้น บางทีดูไม่ค่อยเชื่อมโยงกัน การส่งสารหลายครั้งไม่ค่อยชัด เหมือนเกือบๆจะถึงมือ เอ๊ะหรือไม่ได้ส่งเนาะ (จะรู้เรื่องกันมั้ยนี่) …อือ…แล้วมันก็มีความหนืดๆของหนังบางช่วง การกระโดดข้ามเหตุผลบางเรื่องไปมา รู้สึกว่ามีพื้นที่ว่างโล่งๆแทรกระหว่างสาร หรือบางทีก็เป็นสารอีกเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกันมาวางคั่น ทำให้น้ำหนักเนื้อหาเบาๆไปหน่ิอย
แต่ก็น่าแปลกที่ในความที่ดูหลวมๆที่ผมว่า หนังมันก็ยังคงดึงความรู้สึกคนดูได้ในสไตล์ของ จีทีเอช ที่มักจะทิ้งอะไรอุ่นๆข้างในไว้ให้เราเมื่อเดินออกจากโรงเสมอ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน
พอไฟเปิดคนลุกเดิน เห็นคนเอามือเช็ดตากันเป็นแถว ผมเองก็นิดนึง หนังไม่ได้ฟูมฟายอะไรหรอกนะครับบอกไว้ก่อน ไม่ได้เศร้าโศกด้วย แทบจะไม่มีไคลแมกซ์ด้วยซ้ำ มันมาเรื่อยๆ พอกระฉอกเป็นระยะๆ ยิ้มน้อยๆน้ำตาคลออะไรเทือกนั้น ออกไปในทางบวกครับ
ตอนที่นั่งดูอยู่ก็แอบนึกว่า คนทำหนังช่างเลือกประเด็น เด็กวัยจบมหาลัย กับการผจญภัยในโลกกว้าง อิสรภาพแห่งความคิดและทางเลือก การพิสูจน์ความเชื่อของตน ทั้งหมดนี้มักจะเป็นเรื่องของคนวัยนึงเท่านั้น แล้วเหล่านี้ก็จะร่วงโรยไปกลายเป็นเรื่องเล่าสนุกๆในวันข้างหน้า
นึกอยู่ว่า หนังเรื่องนี้จะมีผลต่อความคิดเด็กๆน้องๆรุ่นๆถัดไปหรือเปล่า เหมือนหนังตอกย้ำความคิดบางอย่าง “ไม่รู้เว้ย กูตัดสินใจแล้ว อะไรอยู่ข้างหน้าค่อยว่ากันเถอะ กูจะเอาอย่างนี้แหละ พร้อมไม่พร้อมกูไม่สน ขอกูได้ลองเถอะ” เอาเป็นว่าเขาเลือกได้เข้ากับยุคสมัยดีทีเดียว
มีสาระอื่นๆสอดแทรกเป็นระยะ คำพูดเท่ๆ สไตล์ เรย์ แมคโดนัลด์ ก็เข้าท่าอยู่
อย่างที่บอกน้ำหนักพล็อตอาจจะดูเบาๆซักหน่อย แต่ก็ได้ความรู้สึกนะ…
อืม เคยเห็นตัวอย่างหนังมานิดนึง น่าสนใจดี ยิ่งเห็นเป็นทีมผู้สร้าง Season Change ก็น่าสนใจขึ้นอีก ไว้มีโอกาสจะไปดูนะ
ดูหนัง GTH บ้างตามโอกาส แต่ก็ไม่ได้ขวนขวายนัก สงสัยผมเองจะไม่ค่อยชอบบทที่ตัวเอกเคว้งคว้าง ไม่ตัดสินใจ ไม่แก้ปัญหา ฯลฯ ทั้งๆ ที่ช่วงวัยเด็กวัยรุ่นของชนชั้นกลางก็น่าจะเป็นทั้งนั้น 😛
แต่เรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา ถึงจะรู้สึกว่าตัวเอกไม่ได้ดั่งใจ ก็พบว่าหนังสนุกอยู่ดี เลยคิดว่าเรื่องนี้ก็น่าจะสนุกเช่นกันครับ 🙂
ตัดสินใจว่าจะดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ยินชื่อ (โห… แม่งคิดตื้น)
แต่ประเด็นที่ไอ้เม่นบอกนี่ นึกหนัง GTH ออกไม่กี่เรื่อง เออ ส่วนใหญ่ก็เป็นยังงั้นจริงๆ แฮะ
สงสัยว่านั่นคงเป็นวิธีสร้างพล็อตให้มันเฮฮาแบบไทยๆ เข้าไว้ ถ้าตัวเอกมันคิดได้ตัดสินใจเป็น เดี๋ยวก็กลายเป็นหนังดรามาฮอลลีวู้ดไปซะ
มาเพิ่มเติมมุขจากเพื่อนในเน็ทครับ
หนีตามอาคีมีดีส = ลงอ่าง!
😛
ขอหนีไปด้วยคนนะ อาคีมีดิสสสสส
ยังไม่ได้ดูเลย แต่อยากหนีด้วยคนว่ะ
“ตัวเอกเคว้งคว้าง ไม่ตัดสินใจ ไม่แก้ปัญหา ฯลฯ ทั้งๆ ที่ช่วงวัยเด็กวัยรุ่นของชนชั้นกลางก็น่าจะเป็นทั้งนั้น”
ไม่เข้าใจหนะ ยกตัวอย่างหน่อยสิน้องเ๋อ๋ย คนจรก้อได้
เอาเท่าที่ดูและคิดออกนะครับท่านพี่ (มีหลายคนคิดแบบนี้ครับ เรียกว่า แนวพระเอกแหย แต่ผมหาที่อ้างอิงไม่เจอ)
แฟนฉัน
พระเอกนั้นโลเลระหว่างเลือกจะเป็นแฟน (เพื่อน) น้อยหน่า กับการได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนชาย (เตะบอล/ตัดหนังยาง ฯลฯ) โลเลที่จะบอกรักและตัดสินใจในความสัมพันธ์
เพื่อนสนิท
พระเอกแอบรัก แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก แล้วก็หนีปัญหาไปอีกจังหวัด เจอหญิงสาวแอบรัก แต่ไม่กล้าเอ่ยปากอีกคน
ซีซั่นเช้นจ์ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
พระเอกแทบไม่ตัดสินใจอะไรเลย ตั้งแต่เลือกจะเรียนคณะอะไร/เรียนต่ออะไร จะทำวงจริงจังแค่ไหน เลือกจะบอกรักใคร หรือการไม่กล้าบอกว่า ไม่ชอบกินผัก ฯลฯ
ไฟนอลสกอร์ 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอนท์
อันนนี้ชีวิตจริงของเด็กเอนท์ ถือว่าต้องเคว้งคว้างเป็นธรรมดา พ่อแม่อยากให้เอนท์ติด เด็กคงไม่กล้าตัดสินใจเป็นแบบอื่นอยู่แล้ว
สายลับจับบ้านเล็ก
นางเอกยอมเป็นเมียน้อยเผื่อจะได้ซื้อบ้าน ถือว่าตัดสินใจนิดนึงละกัน แต่มันก็เคว้งคว้างและไม่ค่อยแก้ปัญหา ส่วนพระเอกก็เป็นแนวชิว ไหลไปเรื่อย เป็นแนวไม่ค่อยแก้ปัญหาอีกคน
ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น
คู่เด็กผู้ชาย 2 คน กับผู้หญิง – อันนี้ผู้หญิงเป็นแนวโลเลไม่ตัดสินใจ ไม่รู้จะคบใคร จะดูทีวีหรือฟังไอพอด, เด็กมัธยมกรี๊ดดารา อันนี้ปกติละกัน, คู่ผู้ใหญ่ที่เกือบนอกใจ ฝ่ายชายก็แนวโลเลที่ไปกับสาวญี่ปุ่นแล้วอ้ำๆ อึ้งๆ, คู่ผู้ใหญ่แอบรัก อันนี้ชัดเจนมาก ว่าแหย ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่แก้ปัญหา
ที่บอกนี้ ไม่ใช่ว่าหนังเหล่านี้ไม่สนุกนะครับ ก็ดูเพลินทุกเรื่อง เพียงแต่มันสะท้อนบุคลิกชนชั้นกลางไทยมากไปหน่อย แนวๆ ไม่ตัดสินใจ ไม่แก้ปัญหา ปล่อยให้คนอื่นชี้นำ โทษฟ้าดินและทักษิณ เอ๊ย ไม่ช่ายยยยย 😛
ยินดีรับฟังความคิดเห็นท่านพี่ทุกท่านนะครับ
นี่ขนาดไม่ค่อยตามหนัง จีทีเอช นะน้องนะ หัวๆก็ไปเกือบหมดแล้ว
ถ้ารวม “รักสามเศร้า” กะ “ความจำสั้น” ก็คงเข้าหมวดได้อยู่
โอเค เป็นอันเข้าใจ ก้อนึกอยู่เหมือนกันว่าประมาณนี้เปล่าหน้อ ก็เป็นได้เนาะที่จะรู้สึกอย่างนั้น ยอมรับว่ะ
พี่มองอย่างนี้นะ เท่าที่มีโอกาสพบเจอผู้คนมาประมาณนึง พี่รู้สึกว่าคนที่จะทำอะไรได้เต็มที่นั้นมักจะมาจากคนที่ไม่ต้องมีภาระความรู้สึกมากนัก
คนที่อยู่หอ อยู่คนเดียว ห่างไกลครอบครัว หรือไม่ก้อ คนมีตังค์ไปเลย ไม่ต้องช่วยเหลือที่บ้าน มีคนทำให้หมด มึงอยากจะทำอะไรของมึงก็ทำไป เหล่านี้ค่อนข้างจะมีอิสระในการตัดสินใจมากกว่า มีแนวโน้มจะกล้าตัดสินใจมากกว่าคนที่่ใกล้ชิดกับความสัมพันธ์ ที่คุ้นชินกับการต้องแคร์นู้นแคร์นี่ ซึ่งอาจจะเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ หรือเป็นความเคยชินของบ้านเรา นอกนั้นความคิดแบบนี้เองก็ยังฝังอยู่ในวิธีคิดของผู้คนจำนวนมากแม้ไม่ได้อยู่กับครอบครัว คาดว่าน่าจะมากอยู่
และก็ด้วยเป็นสังคมประนีประนอมหรือพยามประนีประนอมมันก้ออีหลักอีเหลื่่ออย่างนั้นแหละ
อีกอย่างพี่ว่าผู้ชายเดี๋ยวนี้มันแหยว่ะ ผู้หญิงดูจะเข้มแข็งขึ้นทุกวัน
ส่วนหนังฝรั่งเองเรื่องที่เรามักจะเจอ ก็จะเป็นเรื่องมาตามเช็ดตามแก้สิ่งที่ตัวเองหรือคนรอบตัวทำลงไปแล้ว จะโดยคิดหรือไม่คิดก็ตาม ก็จะมองว่าดีกว่ากันนั้นเป็นเรื่องแล้วแต่
พี่มองว่าเป็นเรื่องวัฒนธรรมนะ ลองมองวรรณกรรมของเราสิ มันก็มีอาการนี้ให้เห็นอยู่นะ
แล้วมีซักอาการที่น้องยกมา ที่ตัวน้องหรือเพื่อนใกล้ๆตัวเคยเป็นบ้างมั้ยล่ะ
(แท้งค์กิ้วเม่น สนุกดี ชอบๆ)
สวัสดีครับพี่ต่อ
เห็นด้วยหลายๆ อย่างครับ เรื่องวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้สังคมเรามีความ “เกรงใจ/ไม่ตัดสินใจ” สูง
ผมก็คอมเม้นท์ไปอย่างนั้นแหละครับ ตัวเองหรือเพื่อนๆ ก็ต้องมีนิสัยอย่างนี้มากบ้างน้อยบ้าง
เหมือนแม่บ้านดูละครหลังข่าวแล้วด่าตัวอิจฉา จริงๆ เราก็มีบางด้านเหมือนตัวอิจฉาเหมือนกัน 😛
ดูหนังของ gth มาก็หลายเรื่อง จนรู้สึกว่ามันเขาทำหนังแนวนี้ออกมาได้เป็นสไตล์ของเขาเอง ไม่ค่อยเน้นความสมจริงของเนื้อเรื่องเท่าไหร่ แต่จะเน้นอารมณ์เป็นช่วง ๆ ของเรื่อง เน้นภาพสวย ๆ เพลงประกอบเพราะ ๆ ดูแล้วเข้ากันเป็นฉาก ๆ ไป แต่ดูจบแล้วก็ได้อารมณ์ feel good ประมาณว่าชอบฉากนั้นฉากนี้ แต่โดยรวมทั้งหมดก็ยังอยู่ในระดับธรรมดา
หนังที่ผมชอบของ gth มักจากเป็นหนังสยองขวัญแฮะ หรือว่าเพราะหนังพวกนี้ส่วนใหญ่มันไม่ต้องใช้เหตุผลมารองรับเท่าไหร่ แต่ gth ก็พยายามผูกให้มันมีเหตุผลมันเลยดูแล้วตื่นเต้น มีสไตล์มากกว่าหนังสยองขวัญทั่วไป
มันเคยมีการตั้งประเด็นว่า ความยากของหนังหรือหนังสืออย่างหนึ่งก็คือ การที่คนเสพคาดหวังต้องการความสมจริง เป็นเหตุเป็นผล ทั้งที่ในชีวิตจริง คนเราก็มักจะทำอะไรไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยู่บ่อยๆ หรือบางทีก็ไม่ต้องการเหตุผลเอาเสียเลย
ผมว่าก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจนะ เราคาดว่าคนอื่นต้องโน้นนี่นั่น แต่ไอ้เราขอยังไงก็ได้เถอะ…
เข้ามาคุยมาแสดงความคิดเห็นอย่างนี้สนุกดีนะ แวะเวียนมาอีกล่ะ
หากมองมุมนั้นก็ได้นะครับ
ดูแล้ว ก็ท่าทางจะจริงคับ
ชอบชื่อเรื่อง