ปล. #4
…
คืนก่อนฝันเรื่องที่ไม่คิดว่าจะยังเก็บมาฝันได้
…
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2536 รักบี้ประเพณีวิศวะจุฬาฯ – ลาดกระบัง จุฬาฯ นำอยู่ 7-5 เหลืออีกไม่ถึงห้านาทีถ้าเกมจบตอนนี้ก็จะเป็นชัยชนะครั้งแรกของจุฬาฯ ในรอบสี่ปี ฉากตัดมาตอนที่ลาดกระบังได้ลูกโทษระยะไกล คนเตะเตะลูกลอยไปไม่ได้ใกล้เคียงกับระยะประตูเลย แต่ลูกนี้เป็นลูก “ไม่ตาย” ใครรับได้ก็สามารถเล่นต่อได้ คนเสื้อชมพูในสนามสิบห้าคน มีผมยืนอยู่คนเดียวตรงจุดที่จะต้องรับลูกนั้น แปลกที่ชีวิตมักจะเป็นอย่างนี้ เหมือนมีใครแกล้งจับผมไปวางในที่ที่ไม่เหมาะในเวลาที่ไม่สมควรอยู่เสมอ แน่นอนที่สุดผมก็รับลูกง่ายๆ หลุดมือ ส่งผลให้ทีมเสียสกรัม เสียแดนและนำไปสู่การเสียคะแนนในที่สุด อีกไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงนกหวีดดังขึ้น จุฬาฯ แพ้อีกเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน (และจุฬาฯ ก็ไม่ชนะอีกเลยในอีกสามปีให้หลัง)
ในมุมมองของคนทั่วไปมันไม่เห็นเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตหรอก มันก็เป็นแค่เกมๆ นึงที่อาจจะไม่มีใครจำได้ แต่กับเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบ (โอ… กูเคยเด็กขนาดนั้นจริงๆ ด้วยว่ะ) มันเป็นชนักปักติดหลังให้คิดถึงวนเวียนๆ อยู่อย่างนั้นหลายปีอยู่
…
ในฝันผมก็ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอยู่ดี ก็ยังเป็นคนที่ถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วก็ยืนดูจากข้างสนาม เห็นทีมแพ้เหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงแต่คราวนี้ตื่นขึ้นมา ความเสียใจความเสียดายมันไม่มีอยู่แล้ว แต่มันเป็นความรู้สึกแปลกใจตัวเอง เหตุการณ์บางเรื่องเกิดขึ้นเมื่อวานพอวันนี้ก็ถูกลืมไปแล้ว บางวันยังนั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าเมื่อเช้ากินอะไรไปว้า
แต่เหตุการณ์บางอย่างกลับติดอยู่กับความคิดเราไปได้นานเกือบครึ่งชีวิต
…
รถทุกคันในอเมริกาจะต้องมีข้อความเขียนไว้ที่กระจกมองข้างว่า Objects in Mirror Are Closer than They Appear ที่นั่นระบุไว้เป็นกฎหมายที่จะต้องเขียนคำเตือนให้คนขับระลึกว่า สิ่งที่เห็นในกระจกน่ะมันอยู่ใกล้กว่าที่คิด ทำอะไรก็ให้ระวังๆ จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ
ข้อความนี้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นเพลง Objects in the Rear View Mirror May Appear Closer than They Are ของ Meat Loaf ในอัลบั้ม Bat out of Hell II เป็นเพลงแนว Ballad เน้นเปียโนพลิ้วๆ ตามสมัยนิยมเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมมาฟังเพลงนี้ในยูทูบอีกที รู้สึกเฉยๆ ชินๆ กับดนตรี แต่ที่ติดใจมากๆ คือเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงเรื่องเลวร้ายสามเรื่องในอดีตที่ไม่สามารถลืมได้ เพื่อนในวัยเด็กที่ตายเพราะอุบัติเหตุ ความโหดร้ายของพ่อ และความหลังเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึง ชอบใจในความคิดเปรียบเทียบของคนเขียนเพลง บางสิ่งที่ผ่านมานานแล้ว (Objects in the rear view mirror…) มันยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ (…may appear closer than they are.)
…
อาจจะเป็นคนละกรณีกับคำพูดที่เพิ่งได้ยินมาจากหนังเมื่อไม่นานมานี้ที่ว่า “ไม่ใช่ลืมไม่ได้ เพียงแต่หวังว่ามันจะกลับมา” แต่เรื่องที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดของความทรงจำในเพลงของ Meat Loaf เป็นอดีตสามเรื่องที่ไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้เลย
คนเราเสียเวลาหดหู่อาลัยอาวรณ์กับเรื่องเหล่านี้เหมือนๆ กันทุกคนหรือไม่
มีเรื่องที่ใหญ่กว่าเกมรักบี้ไม่รู้กี่เรื่องที่เราทำผิดพลาด สิ่งที่ไม่ควรพูดกลับพูด สิ่งที่ไม่ควรทำกลับทำ และหลายๆ สิ่งที่ไม่ได้พูดไม่ได้ทำแล้วก็กลับมาเสียดาย หลายเรื่องในชีวิตเราที่เราหวังว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น มันเกิดไปแล้วแต่เราก็ยังใช้เวลามานั่งคิดตั้งคำถาม ถ้า… แล้ว… ไปให้มันวกวนและสูญเปล่า แล้วอีกหลายๆ ครั้งที่การย้อนนึกไปถึงเรื่องเหล่านั้นก็ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์โดยไม่มีเหตุอันควร
…
เราบังคับตัวเองให้เลิกชำเลืองดูกระจกมองหลังได้ไหม การไม่มองจะหยุดความรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้นได้หรือ การปล่อยให้ความคิดเหล่านี้หลุดออกไปจากความทรงจำมันยากขนาดไหน หรือนี่อาจจะเป็นกลไกของการเรียนรู้ของมนุษย์ที่เขาเรียกว่าบทเรียน หรือมันจะเป็นสีดำที่มาช่วยเติมแต้มให้ภาพชีวิตสวยงามครบถ้วนสมบูรณ์
เรื่องนี้ไม่รู้จะสรุปอะไร ปล่อยทิ้งไว้แค่นี้แล้วกันนะ
คนจรทำให้นึกถึง
“เวลาสมองทำงานปกติ มันจะมีระบบ ออโตเซฟ ให้เราโดยอัตโนมัติ จะมีส่วนที่ทำงานไรท์ข้อมูลจากแรมสู่ฮาร์ดดิสก์เป็นระยะๆ ข้อมูลที่เข้ามาแบบประเดี๋ยวประด๋าวจะถูกเซฟแบบถาวร ตามแต่จะมากน้อย
ไฟล์บางไฟล์ที่ไมาถาวรมากพอไมาไปยุ่งกับมันซักพัก มันก็จะลบทิ้งไปเอง แบบก่อนสอบกะหลังสอบไง ไฟล์ที่ถูกดึงมาใช้บ่อยๆ หรือสำคัญๆ ก็จะมีระบบเซฟที่ถาวรยิ่งๆขึ้น
ตัวไรท์นี่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส อยู่ตรงกลางของสมอง
ฮิปโปแคมปัสนี้เป็นส่วนของสมองที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุด จะเริ่มตายเมื่อขาดออกซิเจนเพียงแป๊บเดียว ก็คงประมาณอัลไซเมอร์อะไรอย่างนั้น
ต่อให้เป็นอัลไซเมอร์เขาก็ว่าไฟล์ถาวรที่ฝังลึกในฮาร์ดดิสก์ก็ไม่มีวันลืม
โชคดีคนจร”
ข้อมูลจาก “โลกจิต” โดย แทนไท ประเสริฐกุล
คงต้องแบบสายกลางมั๊งท่าน
นั่งอยู่ดีดีก็คิดนู่นคิดนี่ไป
คิดเรื่องเก่าๆบ้าง คิดเรื่องอนาคตบ้าง
นึกได้บ้าง ลืมไปบ้าง
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
ยิ้มบ้าง ร้องไห้บ้าง
ไม่งั๊นชีวิตคงน่าเบื่อแย่
เป็นบทความที่ดีครับ อ่านแล้วได้ย้อนคิดถึงอะไรๆในอดีตเยอะแยะไปหมด
จะให้สุขสมหวังไปซะทุกเรื่องเหมือนในหนัง Holliwood คงเป็นไปไม่ได้
ขอแค่ให้มีทัศนคติดีๆกับโลกกับชีวิต เก็บของดีไว้ใช้ ของที่ใช้ไม่ได้ก็โยนทิ้งไป
คงไม่ต้องแบกไว้ทุกๆเรื่อง ทุกๆอย่างหรอกครับ มันหนัก
บางครั้งก็ต้องคิดแบบ วิศวะกุ๊ยๆมั่ง แบบว่า… ช่างแม่ง… อะไรทำนองนี้ก็สบายใจดีออกครับ
Anyways, อ่านแล้วรู้สึกดีครับ โดยเฉพาะในวันที่งานการรัดตัวจนไม่มีเวลาคิดถึงใครๆรอบตัวเลย
Thanks ครับ
เออ ดีแฮะ มีสามคนมาช่วยสรุปคนละมุม
แนววิทย์ แนวศาสนา แนว…อะไรดีวะ แนว damlogger ละกัน
แต่เห็นเพื่อนกลับมาก็ ยินดี ยินดี
I was examining some of your content on this site and I think this website is real instructive! Retain putting up.