Feeds:
Posts
Comments

Archive for May, 2009

อารมณ์นี้ ไม่มีใคร อยู่ให้พร่ำ

อยู่ให้จำ  เรื่องราว  ในคราวก่อน

อารมณ์นี้ ไม่มีเรา  เคล้าบทกลอน

ให้คนจร  ได้คลายเหงา  ในคราวไกล

อยู่เพื่อพบ  อยู่เพื่อพราก  จากไกลห่าง

เดี๋ยวสุขร้าง  เดี๋ยวทุกข์หวล  ชวนสงสัย

ยังแม่นมั่น   แม้หนทาง   ห่างร้างไกล

แต่หัวใจ  ใกล้กัน  นิรันดร..

DamLogger

Read Full Post »

เมื่อวาน

ผมโทรไปบอกข่าวกับอาจารย์ป้อง ว่าแผนที่จะไปสอนที่มหาวิทยาลัยคงจะต้องหยุดไว้ก่อน งานในฝันไม่ได้มาเป็นคอมโบ้พร้อมกับอ๊อปชั่นหลักประกันอื่นๆ ในชีวิต

อาจารย์ป้องเอออออย่างเข้าใจ ไม่ได้ซักถามอะไรมากมาย ผมกดปุ่มวางหู หยุดยืนงงอยู่ตรงทางม้าลายหน้าออฟฟิศ ใจฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา

ผมเพิ่งพบความจริงเมื่อไม่กี่วันก่อน

$$$

ไม่กี่วันก่อน

ผมเดินเข้าธนาคารกรุงเทพฝั่งตรงข้ามออฟฟิศ น้องคนที่ผมติดต่อเรื่องการเงินการลงทุนอยู่เป็นประจำเดินออกมาต้อนรับ ผมถามเรื่องการขอสินเชื่อซื้อบ้านที่เคยคุยกันไว้ แต่ครั้งนี้ผมมาด้วยเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป

“ถ้าผมตัดสินใจย้ายงาน แต่เงินเดือนเหลือเท่านี้ ผมพอจะกู้ซักสี่ล้านห้าไหวมั้ย”

เธอมองดูตัวเลขที่ผมเขียนลงในกระดาษ หันกลับไปมองไฟล์เอ็กเซลที่เปิดไว้แล้วเปลี่ยนตัวเลขสองสามตัวในนั้น เธอถอนหายใจแล้วส่ายหัว

ผมพยายามอธิบายว่าผมน่าจะมีรายได้จากทางอื่นมาเพิ่มอีกพอสมควร เพียงแต่มันไม่แน่นอน

“หนูว่าพี่ทำงานที่เดิมไปก่อนเหอะ ขอกู้ให้ผ่านก่อนแล้วจะย้ายงานหรือหารายได้เสริมมาผ่อนยังไงค่อยไปคิดเอา”

$$$$$

ห้าเดือนก่อน

ใบอนุญาตสร้างบ้านเราได้รับการอนุมัติจากเขตแล้ว แต่เราไม่สามารถกู้เงินได้ถ้าไม่มีหลักประกันในชื่อเรา นั่นหมายถึงขั้นตอนการแบ่งโฉนด และการโอนที่ ซึ่งมีภาษีและค่าธรรมเนียมที่ไม่ใช่ถูกๆ เลย ผมต้องเริ่มโยกย้ายงบประมาณในบัญชีกระเป๋าซ้ายขวาหน้าหลังกว่าจะเห็นข้อสรุปที่ลงตัว อย่างน้อยการใช้เวลาอันยาวนานก็มีข้อดีคือให้โอกาสเราได้หายใจและปรับโครงสร้างการเก็บเงินใหม่

ผมเริ่มศึกษาทางเลือกการใช้วัสดุสร้างบ้านที่ถูกลง เริ่มคิดจะลดในส่วนที่ไม่จำเป็น ดอกเบี้ยขาลงช่วงนี้เป็นใจให้เราประหยัดได้มากขึ้นอีกหน่อย

ผมเอาโฟล์คเข้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ผ้าเบรคและอีกหลายรายการเกือบเต็มความยาวบิล เอาเถอะ ซ่อมให้เต็มที่แล้วอย่าเกเรอีกละกัน ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ อย่างน้อยผมน่าจะต้องพึ่งเจ้าแก่นี่ไปอีกซักสองสามปีล่ะวะ อย่างน้อยเวลามันออกต่างจังหวัดมันก็ขับนิ่มสบายเชื่อถือได้

$$$$$$$

ปีที่แล้ว

โครงการสร้างบ้านถูกปัดฝุ่นเอากลับมาวางบนโต๊ะใหม่ มันถูกแปรสภาพเป็นโครงการเร่งด่วนเนื่องจากการมาถึงของสมาชิกใหม่ในครอบครัว ผมตกลงใจว่าเราจะสร้างบ้านบนที่ดินเดิม นั่นจะทำให้เราประหยัดไปได้มากอยู่ แถมเราน่าจะพอมีเหลือเงินซื้อที่สวนหรือที่ดินเปล่าแปลงเล็กๆ แถวภาคเหนือซักแปลง

เพื่อนสถาปนิกถูกโทรตามตัว เราตกลงค่าออกแบบกันในอัตราฉันท์มิตร ในช่วงเวลาหลายเดือนเราให้ความเห็น เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไขแบบครั้งแล้วครั้งเล่า ค่าก่อสร้างค่าวัสดุก็เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้านี่มันจะเป็นบ้านหลังเดียวของเรา เราก็ต้องเลือกของดีเต็มที่กับมันหน่อย ขอกู้เพิ่มอีกนิด เอาเงินส่วนที่เหลือรวมกับเงินขายรถเก่ามาดาวน์รถใหม่ซักคัน ก่อนสิ้นปีหน้าชีวิตก็จะลงตัว

$$$$$$$$$

สามปีที่แล้ว

ผมแวะเวียนเข้าออกบ้านต่อขาร็อคอยู่แทบทุกอาทิตย์ ส่วนมากมักจะเป็นเหตุการณ์หาเรื่องสังสันทน์หลังตีแบดเสร็จ บ้านมันอยู่ท้ายซอย ทุกๆ ครั้งที่เดินทางเข้าออกเราจะต้องพึ่งที่กลับรถที่เป็นที่ดินว่างเปล่ากลางซอย กลับไปกลับมาบ่อยๆ ผมก็เกิดตกหลุมรักที่แปลงสวยแปลงนี้ขึ้นมา ซึ่งแม่ต่อขาร็อกเมื่อรู้ดังนั้นก็อุตส่าห์ไปตามหาข้อมูลมาให้

พื้นที่ร้อยสี่สิบตารางวาลบหนึ่ง ราคาบอกขาย สิบเอ็ดล้าน

คงต้องหาเพื่อนซักคนมาช่วยซื้อซักครึ่งนึง ถ้าผมต่อได้เหลือสิบล้าน แบ่งกับเพื่อนคนละครึ่ง นั่นก็ไม่น่ามีปัญหาถ้าผมทำตามแผนการเก็บเงินและการลงทุนที่วางไว้ หุ้นมันขาขึ้นอยู่แล้ว ผมน่าจะกู้เพิ่มได้อีกซักสามล้านเพื่อสร้างบ้าน เอาบ้านขนาดกลางๆ แต่ดีไซน์สวยๆ ทำเลดี มีบิ๊กซีใกล้ๆ อีกหน่อยมีรถไฟฟ้าผ่าน ที่สำคัญอยู่ใกล้บ้านเพื่อนและคอร์ตแบดฯ

นี่สิถึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

$$$$$$$$$$$

หกปีที่แล้ว

ผมขับรถพาแม่วนไปดูบ้านเก่าเพื่อจะปรับปรุงบ้านรับคนเช่าใหม่ ผมบอกแม่ว่าขอให้รายนี้เป็นรายสุดท้ายแล้วผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ อาจจะรื้อบ้านแล้วสร้างใหม่ ถ้าแม่กลัวว่าจะไม่มีรายได้เดี๋ยวผมจะดาวน์คอนโดดีๆ ไว้ให้คนเช่าแทน ผมหลับตานึกภาพบ้านหลังใหม่สไตล์มินิมัลลิสติกผสมลอฟต์บนพื้นที่หนึ่งไร่ มีผม มีแม่ มีเมีย ลูกห้า หมาสาม มีเพื่อนฝูงแวะเวียนมาปาร์ตี้ที่บาร์หน้าบ้านในคืนวันศุกร์วันเสาร์

ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อไม่ได้ยินสัญญาณตอบรับใดๆ ผมตื่นจากภวังค์หันกลับมามองคนข้างๆ

แม่ยิ้ม แม่ไม่มีความเห็น

$$$$$$$$$$$$$

สิบเอ็ดปีที่แล้ว

ผมก้าวเดินเข้าไปที่มหาวิทยาลัยบ้านนอกของอเมริกาแห่งนึง ด้วยความหวังว่าที่นี่จะเป็นที่ชุบตัวและลบล้างความไม่เอาไหนของผมในวันวาน วิทยานิพนธ์ของผมจะต้องถูกอ้างอิงในบทความวิชาการเรื่องแล้วเรื่องเล่า หลังจากคว้าปริญญาใบนี้อีกหน่อยผมจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ที่ใครๆ ก็ต้องยอมรับ

จบแล้วผมน่าจะอยู่ทำงานที่อเมริกาซักสามสี่ปี เก็บเงินก้อนใหญ่ๆ ซักก้อน เที่ยวให้เต็มที่ซักครั้งแล้วกลับมาหางานดีๆ ที่เมืองไทย

$$$$$$$$$$$$$$$

สิบเก้าปีที่แล้ว

หลังการจากไปของเสาหลักของครอบครัว เราจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการลดรายจ่ายยิ่งขึ้นแม่ตัดสินใจขายรถเบนซ์ที่พ่อซื้อไว้ แม่ก็เหมือนคนสมัยก่อนส่วนใหญ่ที่มีรถอันดับหนึ่งในดวงใจเป็นรถตราดาวสามแฉก แม่ไม่ได้บ่นอะไรมากแต่ผมรู้ว่าแม่เสียดาย

ผมสัญญากับแม่

“อีกหน่อยพอเรากลับมาอยู่ที่นี่ ผมจะซื้อเบนซ์ให้แม่ใหม่เองแหละ สองคันเลยดีมั้ย แถมจ้างคนขับให้ด้วยนะ”

$$$$$$$$$$$$$$$$$

ยี่สิบหกปีที่แล้ว

เพื่อนพ่อขับรถพาเราออกจากตัวเมืองภูเก็ต มุ่งหน้าหาดป่าตอง เรามาเที่ยวที่นี่กันแทบไม่เว้นแต่ละปี ด้วยเป็นที่เกิดของพ่อและมีเพื่อนฝูงในวัยเด็กของพ่อปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่พอสมควร ผมชะโงกหน้าจากเบาะหลังมาถามพ่อ

“พ่อบอกพ่อเกิดที่นี่ แล้วบ้านพ่ออยู่ไหนล่ะคับ”

ผมจำคำตอบของพ่อในวันนั้นไม่ได้แน่นอน พอสรุปได้ว่าย่าย้ายครอบครัวไปอยู่ที่สงขลาตั้งแต่พ่อเล็กๆ แล้วก็ขายบ้านที่ภูเก็ตไปนานแล้ว

สิ่งที่ผมจำได้คือคำพูดของตัวเอง

“ไม่เป็นไรคับพ่อ อีกหน่อยผมจะซื้อบ้านใหญ่ๆ ริมทะเลที่ภูเก็ตให้พ่อมาอยู่”

What me worry

อาทิตย์หน้า นะ…

ผมจะไปซื้อสลาก ธกส. อย่างที่เห็นในโฆษณา รางวัลที่หนึ่งยี่สิบล้าน

ขอซักทีเหอะวะ!

Read Full Post »

นั่นจอมยุทธ…

พบเจอท่านอีกแล้ว  ไม่ยากนักหรอกที่จะพบเจอจอมยุทธ  ยุทธจักรล้วนเต็มไปด้วยจอมยุทธ  ข้องใจก็แต่ที่ท่านทำมาหากินอะไรกัน  น้อยนักที่จะเอ่ยถึงตั๋วแลกเงิน  น้อยกว่าน้อยที่จะกล่าวอ้างถึงครอบครัวอันมีจะกิน  ก็โอเคที่ท่านขาดแคลนแต่พองาม

จอมยุทธน่าเป็นกว่าจอมโจร  มีกินไม่ละทิ้งคุณธรรม  ยามอกหักเหล้าหมดโรงเตี๊ยม  กี่ชั่งหนอ  กี่ไหหนอ  จะเป็นเรื่องประการใดได้  ก็ข้าจอมยุทธ  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเป็นโจรกันทำมั้ย  ยิ่งโจรวิทยายุทธ  โอ้…พลิกตัวนิดก็จอมยุทธแล้ว  เอ…หรือไม่ท้าทายหว่า

จะดูนอกกรอบนอกรอยบ้าง  ดูติสต์แดกบ้าง  อ้าว! ก็กูจอมยุทธ  ยิ่งถึงขั้นมือต้นๆของยุทธจักรนี่  จะผิดจะถูกก็นี่คาแรคเตอร์กู  คนระดับนี้ไม่มีคำว่าผิดว่าถูก  นี่คือเสน่ห์นะเว้ย  อื้อหือ…เท่ว่ะ

เวลากรูจะผิดศีลธรรมบ้างนั่นหนะสร้างพระเอกเชียวนะเฟ้ย  ภาคหน้าจะอลังการยิ่งยวด  ธรรมะอธรรมสลับข้างกันนัวจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร  ล้วนเป็นผลพลอยมาจากระดับยอดฝีมือ

อ๋อ…ไม่ได้ๆ  จอมยุทธที่ผิดพลาดไป  นอกจากจะเท่สร้างพระเอกแล้ว  การจากไปต้องน่าจดจำ  เป็นสิ่งกล่าวลือกล่าวอ้างกันทั่วยุทธภพ  เพื่อยกความสำคัญของพระเอก  แค่นั้นไม่พอ  พระเอกคนนี้ต้องสร้างปรากฎการณ์ลือลั่น  กลบลบชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างด้วยวิถีที่แปลกกว่าขาวบ้าน  ให้น่าจดจำซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก  โอ้…พระเจ้า

ดูๆแล้ว  จอมยุทธนี่น่าฝักใฝ่อย่างยิ่ง  ถ้าไม่ลำเค็ญเบื้องต้น  ก็ต้องเกิดในครอบครัวล่ำซำแล้วกรูเจอปัญหาความรักกัดกร่อน  คุณธรรมกัดกร่อนแล้วก็ต้องออกมาลำเค็ญ  แต่จะเก็บงำฝีมืออย่างไรได้ด้วยคุณธรรมที่มากล้นหัวใจ  ยังไง้ยังไง  มันก็ต้องเป็นพระเอก  อีคุณธรรมที่ว่ากล่าวกันนี่  น่าเอามานั่งตีความกันเหมือนกัน  อารมณ์เนื้อเรื่องพล็อตทำเสียซับซ้อน   หนอย…พอจะยกคำว่าคุณธรรม  มึงคิดชั้นเดียวซะอย่างนั้น

ยกแฟนให้เพื่อน  ….  คิดชั้นเดียว  กรููไม่รู้ผู้หญิงเขาแฮปปี้รึเปล่า  กูเอาแล้ว  กูตัดสินใจให้  กูแคร์ความคิดกู  คุณธรรมโคตรๆ  แล้วไง  แล้วมานั่งแกะสลักโน้นนี่นั่น  มานั่งมองหลังคาบ้านเขา  พระเอกโคตร  ต่อให้เป็นนิยายวรรณกรรมสุดคลาสสิคก็ขอเหน็บหน่อยเถอะ  ต่อให้ไอ้เพื่อนคนนั้นเคยช่วยชีวิตมึงอย่างจริงใจก็เถอะ  กรูว่า…ไม่ว่าดีก่า

แต่ถ้าในยุคหนึ่งที่ไม่สามารถเกิดทัน  คุณธรรมต่อเพื่อนฝูงถูกชั่งน้ำหนักเป็นอันดับหนึ่งได้ขนาดนี้เนี่ย…แปลว่าในพื้นที่ใกล้ๆตัวขณะนี้มันเปลี่ยนไปเยอะแล้วหล่ะ  โลกเขาเหวี่ยงมาไกลพอประมาณเหมือนกันเนาะ

โธ่เอ้ย…ไม่งั้น…โธ่เอ้ย

(พอดีกว่ายิ่งเขียนยิ่งบิวด์)

Read Full Post »

อยู่กับเพลงอยู่กับวันอยู่กับวัย

อยู่กับใจอยู่กับจิตคิดฟุ้งซ่าน

อยู่กับคืนหลงกับเหงามายาวนาน

อยู่กับกาลรอให้พ้นคนกลางคืน

Read Full Post »

วันนี้ผมเดินผ่านข้างตึกที่ทำงาน เพิ่งสังเกตว่าหมาจรที่อยู่ที่นี่มันเหมือนกับเป็นหมาหน้าใหม่เกือบยกชุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ไม่มีไอ้ขาวกล้ามสวย ไม่มีลุงมอมขนยาวที่เคยมายืนมองหาเจ้าของทุกๆ เช้า ตัวที่คุ้นๆ อีกหลายตัวก็หายไป มีแต่หมาแพนดี้ตัวนี้ตัวเดียวที่ผมจำได้ ผมไม่รู้หมาชุดเก่าเหล่านั้นหายไปยังไง หรือหมาชุดใหม่พวกนี้เป็นผลผลิตจากไหน แต่ผมกลับนึกถึงเรื่องเรื่องนึงขึ้นมา เรื่องที่น่าจะเอามาเล่าให้ฟังตั้งนานแล้ว

 

หมาจร_resize

อาทิตย์ที่แล้ว หลังจากซาบะตายเราไม่สามารถจะขุดหลุมใหญ่และลึกพอที่จะฝังมันได้อย่างเรียบร้อย ผมจึงต้องโทรเรียกรถบริการรับเผาศพและทำพิธีให้สัตว์เลี้ยง ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่แปลกแต่น่าจะทำเงินไม่น้อยทีเดียว หมาดัลเมเชียนตัวขนาดซาบะคิดค่าบริการสี่พันบาท ให้บริการครบวงจรตั้งแต่มารับศพ ประสานงานกับทางวัด ทำพิธีสวด จัดหาพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน น้ำอบและอุปกรณ์ต่างๆ  เมื่อนำเข้าเตาเผาหมดแล้วก็จะนำกระดูกห่อผ้าขาวกลับมาให้

ผมบอกแม่บ้านสองคนที่เคยดูแลมันอย่างใกล้ชิดว่าให้ไปทำพิธีส่งซาบะด้วย ผมจะรอรับกระดูกของซาบะอยู่ที่บ้านเพื่อที่จะฝัง ส่วนเรื่องเงินทำบุญก็ให้เขาทำไปตามศรัทธา ไม่ต้องทำเผื่อผมเพราะผมคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว

หลังจากฝังซาบะเรียบร้อยแล้วผมก็โอนเงินก้อนนึงไปให้ป้าคนนึงที่กำแพงเพชร

อาทิตย์ที่แล้วอีกเหมือนกัน ตัวแทนจากยูนิเซฟเข้ามาขอรบกวนเวลางานเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ ยุทธการไดเร็กเซลส์นี้คาดว่าเป็นวิธีใหม่เพื่อสู้กับจดหมายของมูลนิธิศุภนิมิต

หลังจากที่บรรยายความตามท้องเรื่องพร้อมกับเฮฮานอกเรื่องตามจำเป็นแล้ว เธอก็ยื่นโปรแกรมการบริจาครายเดือนให้ ผมก็ปฏิเสธทันควัน ผมบอกว่าผมชอบบริจาคเงินช่วยเหลือสุนัขมากกว่า สงสัยผมแสดงท่าทีรวบรัดชัดเจนไปหน่อย แต่เธอก็ไม่ละความพยายามกับคำพูดที่เพิ่มดีกรีรุนแรงขึ้น

“เด็กพวกนี้น่าสงสาร พี่มีลูกแล้วยิ่งน่าจะเข้าใจ”

“เด็กควรจะเติบโตในสังคมดีๆ ปราศจากอาชญากรรมและยาเสพติดนะพี่”

“เด็กพวกนี้เลือกเกิดไม่ได้ แต่พี่เลือกอนาคตดีๆ ให้เขาได้”

“เด็กพวกนี้ถ้าเลือกได้เขาคงอยากเกิดเป็นหมาเนอะ พี่จะได้ช่วย”

ผมชื่นชมในสิ่งดีๆ ที่องค์กรเหล่านี้ทำอยู่ แต่บางครั้งคำพูดบางคำของคนที่อยู่ในฐานะตัวแทนขององค์กรมันทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมยินยอมที่จะสละเวลาฟังเรื่องที่เธออยากจะพูดแต่ไม่ยินดีที่อาณาเขตส่วนบุคคลถูกรุกล้ำอย่างน่าเกลียด

วันนั้นเธอคงหวังและผิดหวังมากไปหน่อย

ผมข่มใจไม่ให้พลั้งปากขอโอกาสให้กับตัวเองได้เติบโตในสังคมที่ปราศจากวาจาเสียดสี แต่ผมแค่อธิบายให้เธอฟังว่า ผมเข้าใจดีหากเด็กๆ ได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอและเป็นระบบแล้ว เขาก็มีโอกาสเติบโตและมีอนาคตที่ดี ซึ่งผมก็ยินดีด้วย แต่เด็กๆ มีคนช่วยเยอะแล้ว ผมอยากจะช่วยในส่วนที่คนส่วนใหญ่อาจจะละเลยหรือหลงลืมและส่วนที่ไม่มีกำลังเรียกร้องบ้าง ก็เท่านั้น

แต่สิ่งที่ผมอธิบายไม่ได้คือทำไมผมถึงเลือกที่จะไม่รดน้ำในกระถางให้ดินดำน้ำชุ่มเพื่อจะรอดูต้นไม้เติบใหญ่งดงาม แต่ผมกลับเลือกจะเทน้ำใส่เข่งที่มีแต่จะรั่วไหลออกไปในทันทีที่ถูกเติม

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสองปีก่อน ผมพบข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับป้าที่ใช้เงินที่มีอยู่แทบทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้มาเลี้ยงหมาแมวฝูงหนึ่ง  อันที่จริงเราคงจะได้ยินเรื่องทำนองนี้ออกบ่อยๆ เมื่อข่าวสะพัดออกไปก็จะมีคนออกมาช่วยระดมทุน บ้างก็เอาอาหารเอาของใช้มาให้ บ้างก็พาสัตว์ไปฉีดวัคซีนหรือพาไปรักษา ผมมั่นใจน้ำใจคนไทยไม่เคยเหือดแห้ง แต่ในกรณีของป้าคนนี้ดูจะได้รับความช่วยเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะแกไม่ได้อยู่ในที่ที่ไปมาสะดวกนัก แกอยู่ที่อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร

ในวันที่เราออกเที่ยวสุโขทัยต้นเดือนกุมภาปีที่แล้ว ผมจดรายละเอียดเท่าที่จะหาได้ แวะซื้ออาหารเม็ดหนึ่งกระสอบใหญ่กับสองกระสอบเล็กเอาขึ้นท้ายรถ ขีดเส้นทางผ่านตัวอำเภอพรานกระต่ายแล้วออกเดินทาง โทรถามทางป้าแกเป็นระยะๆ จนมาถึงที่หน้าโรงเรือนแห่งหนึ่งบนทางหลวงหมายเลข 101 ระหว่างกำแพงเพชรกับสุโขทัย

หญิงวัยกลางคนเดินมาเปิดประตู ผมมองลอดซี่กรงเห็นหมาเดินเพ่นพ่านเกือบร้อยตัว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยประโยคแรกถามถึงจำนวนหมาแมวที่แกเลี้ยงไว้ คำตอบที่ได้คือไม่แน่ใจแต่บอกว่าข้างในโรงเรือนมีอีกเยอะ ผมเดินกลับมาเปิดท้ายรถยกอาหารเม็ดลงมา เมื่อพิจารณาเรื่องสมดุลระหว่างอาหารเม็ดและจำนวนหมาแมวที่มีมากกว่าที่เราคิดไว้ คาดว่าคงจะได้กินกันตัวละไม่กี่คำ แต่ป้าก็มีท่าทางดีใจพร้อมกับบอกว่า “ดีจริง พวกนี้ไม่ค่อยได้กินของดีๆ เท่าไหร่หรอก” ป้าบอกว่าพวกมันกินแต่ข้าวเปล่าๆ เป็นอาหารประจำ บางมื้อเท่านั้นที่จะมีเศษเนื้อบ้าง ถ้าแย่จริงๆ บางวันก็อาจจะไม่มีอะไรกินเลย

ดูจะเป็นการแนะนำตัวที่เกิดขึ้นช้าและไม่ถูกกาลเทศะเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ช่วยป้าเอากระสอบอาหารไปเก็บไว้ในเพิงแล้ว เราถึงได้เริ่มเล่าถึงสาเหตุของการมาเยือนและข้อมูลที่รับทราบมา หลังจากนั้นป้าสุวคนธ์เจ้าของโรงเลี้ยงหมาแห่งนี้ก็แนะนำตัวและเริ่มเล่าเรื่อง ป้าบอกว่ารถราแถวนี้วิ่งกันเร็ว แกเห็นหมาถูกรถชนบ่อยๆ แล้วสงสาร บางตัวก็เอาถูกปล่อยไว้ข้างถนนเดินงงไปมา ถ้าทิ้งไว้ก็คงไม่รอด ก็เลยเก็บหมาพวกนี้มาเลี้ยงไว้ในที่ของแก แล้วหมาที่เลี้ยงๆ อยู่มันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วยสาเหตุต่างๆ ผมไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงเรื่องราวอย่างละเอียดนักด้วยคิดไปว่าแกคงเหนื่อยกับการตอบคำถามซ้ำๆ

ป้าชี้ให้เราย้อนไปดูสิ่งที่เราใช้เป็นที่หมายตาตอนขับมาจากตัวอำเภอ ป้ายแผ่นใหญ่มีข้อความขอบริจาคอาหารและยารักษาโรคสำหรับสุนัขและแมว แต่ป้ายนั้นกลับไม่ได้ส่งผลอย่างที่ป้าหวังไว้

“ไม่รู้คนเขาอ่านผิดรึยังไง พอมีป้ายนี่ขึ้นมาคนก็เลยเอาหมาเอาแมวมาปล่อยให้ป้าเลี้ยงกันใหญ่”

ป้าได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้กับความเห็นแก่ตัวของคน

การไปเยือนคราวนั้นจบลงในเวลารวดเร็ว ผมอยากจะเดินทางต่อไปจุดหมายที่สุโขทัยก่อนเที่ยง ส่วนป้าก็กลับไปวุ่นวายกับภารกิจดูแลสวนสัตว์ประจำวัน กล้องถ่ายรูปที่มีอยู่ในรถผมก็ดันไม่ได้เอามาถ่าย แต่หลักฐานของความมีตัวตนและการกระทำของป้าสุวคนธ์ก็พอมีกระจัดกระจายอยู่บ้างตามอินเตอร์เน็ต ใครสนใจก็เลือกคลิกเอา น่าจะได้ข้อมูลมากกว่าที่ผมเขียน

 

หมาแดงบนกำแพงอิฐ

ถ้าใครรู้สึกว่าหมาพวกนี้น่าจะมีโอกาสได้อยู่รอดนานกว่าที่มันควรจะอยู่ได้ซักวันสองวัน ผมก็ขอให้รายละเอียดบัญชีที่จะโอนเงินบริจาคไว้ด้วย

บัญชีธนาคารออมสิน สาขาพรานกระต่าย ประเภทบัญชีฝากเผื่อเรียก

ชื่อ สุวคนธ์ ไม้แดง

หมายเลข 04-2902-20-039069-5

คำเตือน:

1. การโอนเงินสดที่ธนาคารออมสินข้ามเขต มีค่าธรรมเนียมสามสิบบาท ถ้าโอนข้ามธนาคารก็ต้องบวกเพิ่มไปอีก แล้วแต่ธนาคารไหนจะคิดเท่าไหร่

2. หมาแมวพวกนี้จะไม่ได้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองคุณภาพเพ็ดดีกรีหรือกลายเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตแต่ประการใด

Read Full Post »

วันนี้นั่งคุยกับปอง  เรื่องราวหลายๆอย่างถูกผลักไสออกจากความรู้สึกเพื่อเรียนรู้…ใช่สิ  เพื่อเรียนรู้

ตอนนั้นยังไม่รู้จักปอง  มาเป็นเพื่อนเอิ้นที่ชูบีดูบาร์ (ใครไม่เคยมาดูผมเล่นที่นี่ก็สายไปแล้วล่ะ  เป็นที่ที่ได้เป็นนักดนตรีจริงๆ  ขอบคุณๆ)

เพลงรักเพราะๆเพลงหนึ่งที่มีคนรู้จักน้อยนัก  ปองบอกเอิ้นวันนั้น

“ถ้าเราไม่ชอบเราไม่ร้องนะ”

พาเอิ้นไปนั่งทานส้มตำ ยำขนมจีน ในครึ่งชั่วโมง

“โคตรเพราะเลย เรารับงานนี้”

นั่นคืองานแรกที่รู้จักกัน

ขณะเวลา่ปองอัดร้องเพลงนี้  บุคคลสำคัญในชีวิตคนหนึ่งเดินทางจากไปไกล….

มีโอกาสเล่นเพลงนี้ให้ปองร้องอยู่ครั้งสองครั้ง  เพลงที่ไม่ดีไม่ทำคะแนนในแท่นชาร์ต  แต่ทำคะแนนในความรู้สึกลึกนัก

ครั้งนั้นเอิ้นเขาไปทำงานต่างจังหวัด  ไปเห็นความรู้สึกของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ต้องไปรวมตัวกัน  เพื่อ…เพื่อมีคนดูแล  มีสังคม  มีเพื่อนฝูง

แต่นั่นลบแววตารอคอยลูกหลาน  ลบริ้วรอยเหนื่อยยากบางอย่างที่ถูกทอดทิ้งไม่ได้

บางคนเพ้อคร่ำครวญเพื่อเห็นหน้าลูกซักครั้ง  บางคนอยู่ในการรอคอยจนเงียบงัน

เขาไม่มีวันลืมได้  เมื่อเขาให้ส่วนหนึ่งส่วนสำคัญของชีวิตไปเพื่อเธอแล้ว… แล้วเธอเล่า….

หลับตาอีกครั้ง…อีกครั้ง  ฟังอีกครั้ง…อีกครั้ง

(ไม่เขียนเนื้อนะ  เพลงมีไว้ฟังไม่ใช่อ่าน)

………………………………………………………………………………………………………………………………………..

“คนที่ถูกลืม” โดย ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ เนื้อร้อง/ทำนอง  พิยะดา  หาชัยภูมิ เรียบเรียง  ชัชวาล ปุกหุต

Read Full Post »

หนึ่งปีมานี้ได้อ่านหนังสือนิทานเด็กหลายเล่มกว่าที่เคยอ่านหลายสิบปีที่ผ่านมารวมกัน มีหลายๆ เรื่องที่น่าสนใจในแนวคิด รูปภาพ และการใช้คำที่มีเสียงดึงดูดความสนใจ แต่เรื่องที่เด็กแปดเดือนที่บ้านชอบบางทีเราก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม แม้จะเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดและลักษณะคล้ายคลึงทางพันธุกรรมบางอย่าง แต่ผมก็พบว่าผมกับเจ้าเด็กน้อยฟิล์มนัวร์คนนี้มีรสนิยมไม่ค่อยตรงกัน

The Dot

The Dot เป็นเรื่องที่ผมไปเห็นตอนที่ไปเที่ยวอังกฤษหลายปีมาแล้ว จะว่าไปมันก็ไม่ใช่นิทานสำหรับเด็กเลยทีเดียว มันเหมาะที่จะให้ผู้ใหญ่อ่านมากกว่าด้วยซ้ำ จากวันนั้นถึงวันนี้ผมเจอหนังสือเด็กอีกหลายเล่ม แต่ยังไม่ชอบเล่มไหนเท่าเล่มนี้

The Dot เป็นเรื่องของเด็กหญิงคนนึงชื่อ Vashti ผู้ขาดความมั่นใจ ในชั่วโมงการเรียนศิลปะครูสั่งให้นักเรียนวาดรูปรูปหนึ่ง พอจบชั่วโมงครูก็พบว่า Vashti มีแต่กระดาษเปล่าๆ พร้อมกับคำบอกเล่าว่าเธอ “วาดรูปไม่เป็น” ครูก็เลยให้ Vashti ลองจุดดูบนกระดาษนั่นหนึ่งจุด

“เอ้า แล้วก็เซ็นชื่อซะ”

วันรุ่งขึ้นเด็กหญิงเห็นผลงานของตัวเองถูกเอาใส่กรอบแขวนแสดงไว้หน้าห้อง เธอเดินเข้าไปดูด้วยความประหลาดใจ แล้วทันใดเธอก็เกิดประกายความคิด “ฉันน่าจะสร้างจุดได้ดีกว่านี้นี่นา”

เธอกลับไปบ้าน แล้วก็รื้อชุดสีน้ำที่เก็บไว้มานานออกมา แล้วก็เริ่มทดลองจุดสีต่างๆ

“ถ้าฉันจุดเล็กได้ ฉันก็สร้างจุดใหญ่ได้”

เธอลองจุดให้ใหญ่ขึ้น ลงสีพื้น ลงสีสลับ ทำจุดเป็นวงเดี่ยววงซ้อน ทำจุดเป็นลายเส้นก้นหอย สร้างจุดโดยใช้ช่องว่าง และอื่นๆ อีกหลายวิธีที่จะสรรค์สร้างจุด สุดท้าย เธอก็เปิดแสดงงานศิลป์ “The Dot” มีคนเข้ามาชมมากมาย

เรื่องมันขมวดปมตอนจบเมื่อมีเด็กชายอีกคนหนึ่งเข้ามาขอลายเซ็นและแสดงความชื่นชมในตัว Vashti เด็กชายลงท้ายว่า “ฉันอยากวาดรูปได้บ้างจัง”

“ไหนเธอลองขีดเส้นซักเส้นนึงสิ” Vashti บอก

“เอ้า แล้วก็เซ็นชื่อซะ”

เรื่องนี้เป็นนิทานประกอบภาพ การเล่าเป็นตัวหนังสือล้วนๆ คงไม่ได้อารมณ์ ว่างๆ ถ้าสนใจต้องมาดูเล่มจริงเอาเอง เพราะรูปหนึ่งรูปนอกจากจะแทนคำพันคำแล้วยังแสดงอารมณ์ได้ชัดกว่าตัวหนังสือเป็นไหนๆ

และรูปทุกรูปล้วนแล้วแต่เริ่มจากหนึ่งจุด เหมือนการเขียนหนังสือก็เริ่มจากการกดแป้นพิมพ์หนึ่งตัวอักษร

เรื่อง The Dot นี้ถูกแปลเป็นภาษาอื่นๆ มากมาย แต่ยังไม่เห็นภาษาไทย แล้วก็กำลังจะได้ทำเป็นการ์ตูนหนังสั้น

ปีเตอร์ เรย์โนลด์ ใช้เวลาถึงปีครึ่งที่จะเขียน ตกแต่ง ขัดเกลาเรื่องนี้จนจบ เขาตั้งใจจะให้ The Dot เป็นเล่มแรกของไตรภาคที่เขาเรียกว่า Creatrilogy เสียดายที่เรื่องที่ตามมาคือ Ish ไม่ค่อยมีอะไรที่สามารถฉีกออกไปจากเล่มแรกมากเท่าไหร่ ส่วน North Star ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายดูจะแตกต่างด้วยการพูดถึงการเดินทางและจุดมุ่งหมายของชีวิตได้อย่างสวยงามโดยใช้คำง่ายๆ และช่องว่างเข้ามาสร้างอารมณ์

ในเว็บไซต์ของเขาบรรจุรายละเอียดผลงาน ที่มาของนิทานเรื่องต่างๆ รวมทั้งวิธีคิดของปีเตอร์

เขาสัญญากับตัวเองว่าจะเขียนบันทึกอะไรก็ได้ทุกสิ้นวัน ไม่ว่าจะด้วยการวาดรูป การแต่งกลอน คำซักคำนึง หรือแม้แต่เครื่องหมายอะไรก็ได้ เพื่อที่จะเป็นหลักฐานว่าเขายังมีชีวิตรอดมาอีกหนึ่งวัน

ย้อนทบทวนชีวิตแต่ละวันของเราที่อัดแน่นไปด้วยภาระและเรื่องราวอันหนักอึ้ง หลายวันที่เรารู้สึกดีใจที่มันจบลงไปได้ หลายๆ ครั้งที่การที่ทิ้งตัวลงบนเตียงคือการเข้าสู่เส้นชัย วินาทีที่หัวถึงหมอนคือวินาทีแห่งชัยชนะโดยที่ไม่มีใครจดสถิติใดๆ ไว้

นึกแล้วก็เสียดาย กี่วันของเราผ่านและจบไปโดยที่ไม่มีบันทึก ไม่มีร่องรอย ให้จด ให้จำ

.

..

Read Full Post »

เท่าที่รู้เป็นโปรเจ็คท์ที่เอานักดนตรีข้างถนนทั่วโลกมาแจมกัน แยกกันอัดในแต่ละที่  แล้วอัดข้างถนนด้วย  เอามามิกซ์ประติดประต่อร้อยเรียง  อาจไม่เรียบร้อยนักแต่ได้ความรู้สึกอย่างยิ่ง

ดูแล้วมีความสุข  รู้สึกถึงพรที่ประเจ้าประทานแก่มนุษย์  ดนตรี  ความตั้งใจ  ความสร้างสรรค์ และคงอีกหลายๆอย่างที่ทำให้โลกน่าอยู่  และผ่านความทุกข์ด้วยรอยยิ้มได้

ซัดเต็มที่ สี่เพลงไปเลย

อันนี้มีน้า โบโน มาแจมด้วย

นักดนตรีเล็กๆ ที่มีความสุข  ไม่ได้มีชื่อมีเสียง  เวลารวมกันมันก็ดูมีคุณค่าดี

ถ้าเมื่อไหร่คนทั้งโลกร่วมร้องเพลงๆเดียวกันพร้อมๆกัน  มันจะเป็นอย่างไรหนอ  คงขนลุกน่าดู…

แล้วถ้าเมื่อไหร่คนทั้งโลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนที่ได้ดูข้างบนนี้  ….

เห็นว่าหาได้ที่บีทูเอส ต้องไปสนับสนุนเสียหน่อย ช่วยเขา Change The World

(เขามีอธิบายแรงบันดาลใจ  ที่มาที่ไป วิธีการทำงาน  ในยูทูป แปลไม่ออกง่ะ )

Read Full Post »

ย่อ ตัด และยก จากหนังสือ จุดหมายที่ปลายเท้า
ของหนุ่มเมืองจันท์ (หน้าที่122 -125)

วันก่อนผมอ่านบทสัมภาษณ์ “นิรัตน์ อยู่ภักดี” กรรมการผู้จัดการ บ.รีเจนท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ใน กรุงเทพธุรกิจ
เขาเป็นรุ่นเก๋าในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เพราะ “รีเจนท์โฮม” คอนโดราคาถูกของเขาไม่ค่อยโฆษณา
แค่ปิดป้ายก็ขายได้ เพราะราคา, คุณภาพไม่ทราบ แต่วิธีคิดของ “นิรัตน์” น่าสนใจมาก

เริ่มจาก “ทำเล” เขาเลือกทำเลที่ขยับเข้าซอยอีกนิดเพืื่่อให้ต้นทุนที่ดินต่ำลง เป็นทำเลที่เดินทาง “สะดวก” แต่ไม่ถึงขั้น “สบาย”
ต้องที่ดินราคาไม่สูง จึงจะสามารถสร้างคอนโดราคาประมาณ 600,000 ถึง 700,000 บาทได้

แต่ที่ผมชอบมากก็คือวิธีการเล็งทำเลสร้างคอนโด ที่ไม่เพียงแต่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น

ทำเลเด็ดของเขาต้องเป็นบริเวณที่มีอพาร์ตเมนต์ หอพักเยอะๆ เพราะคอนโดราคาถูกนั้น อัตราการผ่อนต่อเดือนจะพอๆ กับ “ค่าเช่า”
เพียงแต่ขอให้เขาเปลี่ยนจาก “เช่า” มาเป็น “ซื้อ” เท่านั้น

เขามีวิธีสำรวจตลาดหอพักและอพาร์ตเมนต์แบบง่ายๆ เป็นกลยุทธ์ที่ถ้าไม่ “เก๋า” จริง คิดไม่ได้

เขาบอกว่าอพาร์ตเมนต์ทั่วไปจะมี 2 แบบ คือ แบบ 5 ชั้น และ 8 ชั้น
แบบ 5 ชั้นจะไม่มีลิฟต์ ส่วน 8 ชั้นจะมีลิฟต์
เวลาสำรวจว่าอพาร์ตเมนต์นั้นมีคนเช่าเต็มหรือเปล่า ไม่ต้องดูทุกชั้นแต่ดูเพียงบางชั้นก็พอ

ถ้าเป็นอพาร์ตเมนต์ 5 ชั้น… ให้ดูที่ชั้น 5 เป็นหลัก ไม่ต้องถามทุกชั้น
เพราะตามปรกติคนจะเลือกชั้นต่ำๆ ชั้น 5 เป็นตัวเลือกสุดท้ายเพราะขี้เกียจเดินขึ้นถึงชั้น 5
ถ้าชั้น 5 เต็มก็แสดงว่าชั้นอื่นเต็มหมดแล้ว

ส่วนอพาร์ตเมนต์ 8 ชั้น… ให้ดูที่ชั้น 2
เพราะมีลิฟต์ ไม่ต้องเดินขึ้น คนอยู่จึงเลือกที่จะอยู่ชั้นบนๆ ก่อน
จะไม่มีใครเลือกชั้น 2  ดังนั้นถ้าชั้น 2 เต็ม แสดงว่าชั้นอื่นเต็มหมดแล้ว

ครับ..ทุกธุรกิจล้วนมีกลเม็ดเคล็ดลับ
และคนที่ “เก๋า” จริง จะมีวิธีการแบบง่ายๆ
ไม่ต้องดูป่าทั้งป่า แค่หยิบใบไม้มาโปรยก็รู้แล้วว่าป่าเป็นอย่างไร

Read Full Post »

Umeshu

หิ้วเจ้านี่มาฝากเพื่อนๆ พรุ่งนี้เลยดีมั๊ยท่าน

IMG_3667

Read Full Post »

I’m Tough, Ambitious & I know exactly what I want.

If that makes  ME A BITCH OKAY. – Madonna

Read Full Post »

ในที่สุด อึ้งเอี๊ยะซือ ก็ยอมรับ ก้วยเจ๋ง จากการสนทนาปริศนากับ อึ้งย้ง ระหว่างเกมกระดานหมากล้อม ของผู้เฒ่าและคนหนุ่ม

กว่าก้วยเจ๋งจะเข้าใจปริศนานั้น ก็ต้องรอจนอึ้งย้งไขให้  ว่าท่านพ่อยอมให้เราแต่งงานกันแล้ว

แต่ในที่สุด ก้วยเจ๋ง ก็มีปากเสียงกับอึ้งเอี๊ยะซือ

“ข้าให้แต่งแล้ว ทำไม่เจ้าไม่แต่ง”

“แม่ข้าอยู่ที่มองโกล  ข้าต้องไปเชิญท่านมาก่อน”

“พิธีรีตรองละได้ก็ละไปเสีย”

“ข้าจะให้อาจารย์ไปสู่ขอที่เกาะดอกท้อ”

“ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน  ทำไมต้องมากเรื่องด้วย”

“………………………………………………….. ฯลฯ

อึ้งเอี๊ยะซือเดินทางกลับเกาะดอกท้อด้วยขัดใจ  หยุดถามส่าโกว

“ข้าเอาแต่ใจไปหรือเปล่า?”

“ข้าเองไม่ใช่หรือที่บอกว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน”

ชอบว่ะ

จากความจำ  “มังกรหยก” สมัย  องเหม่ยหลิง (โคตรน่ารักเลย ) เห็นว่าคนจีนทั่วโลกโหวตให้เธอเป็นอึ้งย้งที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุด  ทุกวันนี้ยังมีแฟนหนังของเธอไปไว้อาลัยหน้าหลุมศพเธอทุกปี

K3477249-31

Read Full Post »

ฟังเพลงของ Jason Mraz ที่ต่อกะรอกนำมาฝาก เปิดเน็ตไปมา เจอเพลงที่ชอบมานาน “Fly me to the Moon” ที่ต้นฉบับเดิมร้องโดยคุณปู่ Frank

มีคนชอบเยอะเหมือนกัน จึงได้มีการนำเอามาร้องใหม่อีกมากมายหลายคน รวมทั้งตา Jason นี้ด้วย

เอามาฝากในแบบของ Jason Mraz และ อีกคนหนึ่งคือ Peter Cupples เพราะไปคนละแบบนะ

ปล. หนุ่มพเนจร ช่วงนี้อาจจะดูคล้าย youtube หน่อยนะ อิอิ

———————————————————————————————-

Fly me to the Moon [Lyrics]

Fly me to the moon
Let me sing among those stars
Let me see what spring is like
On jupiter and mars

In other words, hold my hand
In other words, darling kiss me

Fill my heart with song
Let me sing for ever more
You are all I long for
All I worship and adore

In other words, please be true
In other words, I love you

———————————————-

โบยบินสู่ดวงจันทร์
ให้ฉันได้ร่ายร้องท่ามกลางดารา
ให้ได้เห็นฤดูผลิบานแห่งพฤษา
บนดาวพฤหัสและอังคาร

เช่นนั้น โปรดกุมมือฉัน
เช่นนั้น ที่รัก จุมพิตฉัน

เติมใจฉันด้วยบทเพลง
ให้ฉันได้ร้องบรรเลงไปชั่วกาล
เธอที่ฉันรอมาเนิ่นนาน
ด้วยสุดแสนรักภักดี

เช่นนั้น โปรดคงมั่น
เช่นนั้น ฉันรักเธอ

[ลองแปลเป็นไทย โดย eKKeMan คำแปลอาจไม่ตรงกับคำอังกฤษบ้างนะ]

Read Full Post »

พักนี้หนักเพลงหน่อยนะ  ก็คนมันอยู่กับเพลงนี่เนาะ  แล้วมันก็มีดีมีน่าสนใจอยู่ไม่น้อย  แนะนำกัน  แนะนำกัน

จากการที่ได้พูดคุยได้ทำงานกับคนดนตรีหลายๆคน  จากที่ได้คุยกับน้องๆเด็กนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ  กระแสพี่เขาแรงจริงๆ  ทั้งที่งานก็ออกมาพักใหญ่แล้ว  ใครๆก็อยากทำเพลงแบบเขา  ทั้งที่ก็มีคนบ้านเราเอางานเขามาทำเป็นเรฟเฟอเร้นซ์อยู่หลายงานแล้ว  เดี๋ยวคุยกะใครก็ Jason Mraz คุยกะใครก็ Jason Mraz

เอ้า…งั้นเพื่อนๆลองดูิเพลงเด่นๆของเขาแล้วกัน  งานก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะ  แต่ชุดนี้แพร่หลายเหลือเกิน  ไหนลองมาวิพากษ์กันดู  เหตุดังฤาที่เด็กๆน้องๆเขาชื่นชมกัน  เราก็ชอบ  เพียงแต่…ไงทุกคนมันไปคิดเหมือนกันหมด  กระแสพี่เขาแรงจริงๆ ก็ถือซะว่าเราจะได้ไม่ตกยุคเนาะ

เพลงนี้หัวๆ  ได้กระแสเด็กแนวเต็มๆ  บ้างก็บอกว่านี่แนวหรั่งข้าวสาร

เพลงนี้พูดร่ำยาวนิดนึง  ข้ามๆไปก็ได้นะ (ฟอร์เวิร์ดนะท่าน) กลิ่นอาย จามิโร ไควร์  ฟังๆไปก็ ไอวิวเซอไว้ เหมือนกัน

เพลงสุดท้ายนี้อารมณ์กึ่ง Jack Johnson เนาะ  คนเขานิยมกัน

น่าจะถูกใจเพื่อนๆบางคนนะ  Nemo เคยถามไถ่ถึงเมื่อพักใหญ่แล้ว

เอา…เอา

Read Full Post »

เนื่องด้วยสามสี่อาทิตย์ที่แล้ว MrKan ถามไถ่ถึงดนตรีแนวนี้ว่าเป็นอย่างไร นึกย้อนไปว่าเพื่อนแดมก็เคยถาม เพื่อนคนจรก็ชื่นชอบ  น่าจะเป็นการดีที่จะมาว่ากล่าวถึงเสียหน่อย  อีกทั้งความเข้าใจบ้านเราเกี่ยวกับอาการของดนตรีแนวนี้ยังไม่ค่อยจะใช่เท่าไหร่นัก  เริ่มเรื่องที่ว่า….

“Joao Gilberto do Prado de Oliveira” ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า “จาว จิลแบร์โต” เกิด ๑๐ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๓๑ ที่เมือง Juazeiro แคว้นบาเฮีย  เมื่ออายุ ๑๔ ปี เขาได้กีตาร์เป็นของขวัญ  หลังจากนั้นมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา  จากจุดนั้น จาว เริ่มตั้งวงเด็กในละแวก ซ้อมใต้ต้นมะขาม ก่อนออกเล่นตามงานจ้างต่างๆ

จาว  โตมากับเพลงที่หลากหลายพอสมควร  ทั้งเพลงยอดนิยมจากสหรัฐ เช่น Caravan ของ ดุ๊ก เอลลิงตัน ,Song of India ของ ทอมมี ดอร์ซีย์ รวมทั้ง Me’nilmontant ของนักร้องนักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศส ชาร์ลส์ เทรมองต์  ในขณะที่เขาก็หล่อหลอมประสบการณ์จากเพลงยอดนิยมพื้นบ้าน  ไม่ว่าจะเป็น Bolinha de Pael , Ave Maria no Morro , A Primeira Vez และ O Samba da Minha Terra  ซึ่งเป็นรากเหง้าที่มั่นคงภายใต้ร่องรอยของจารีตวัฒนธรรมดั้งเดิมในการสร้างสรรค์รูปแบบดนตรีในเวลาต่อมา

João Gilberto 01

João Gilberto 01

อายุราว ๑๘ ปี จาว ย้ายมายัง Salvador เมืองหลวงของบาเฮีย เพื่อหาช่องทางเป็นนักร้องตามรายการวิทยุ จาว ไม่ประสบความสำเร็จ

ค.ศ. ๑๙๕๐ หนึ่งปีหลังจากที่รอนแรมในเมือง Salvador จาว ได้รับเชิญให้เดินทางไปยังเมืองหลวงของบราซิล เพื่อเป็นนักร้องนำแก่วง Garotos da Luna

จากจุดนั้นไม่ได้ทำให้ชีวิตของ จาว ดีขึ้น สุดท้าย จาว ต้องออกจากวง  ชีวิตของเขาตกต่ำลง  และเป็นเช่นนั้นตลอดเวลา ๗ ปี  ที่เขาห่างหายจากการรับรู้ของผู้คน  เสพกัญชา ไว้ผมยาว สวมเสื้อผ้าปอนๆ  จนถึงจุที่ต่ำที่สุดคือไม่มีใครจ้าง และแฟนของเขา ซิลเวีย เทลเลส (ซึ่งต่อมาเป็นนักร้องแนวบอสซา โนวา ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง) ก็จากเขาไปในที่สุด

ชีวิตระยะนี้ของเขาแกร่วไปแกร่วมาเพื่อรอคอยเพื่อนๆนักดนตรีตามคลับต่างๆ หลังจากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในเมืองริโอหลายปี จนกระทั่ง  หลุยส์ เทลเลส ผู้นำวงที่ชื่อ Quitandinha Serenaders ชักชวน จาว มาร่วมงานด้วย

ที่เมือง Porto Alegre เสน่หที่ปรากฎในการแสดงของ จาว เรียกความสนใจจากผู้คนในเมืองนี้ได้มากพอ  หลายคนที่เคยเข้านอนหัวค่ำ ก็เปลี่ยนมาใช้ชีวิตยามราตรี  ด้วยการฟังดนตรีและหาโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับเขา

จาว  พบว่าเขาไม่พึงใจกับกีตาร์สายโลหะอีกต่อไป  และเปลี่ยนมาใช้กีตาร์สายไนล่อนในช่วงนี้  จาว ย้ายมาอยู่กับพี่สาวที่ Diamantina เป็นเวลาราว ๘ เดือน ที่นี่เขาไม่ออกไปไหน  นอกจากเล่นดนตรีอยู่กับบ้าน  ทั้งกลางวันกลางคืน  ทดลองค้นหาแนวทางเปลี่ยนคอร์ดในแบบต่างๆ  และในที่สุดก็ค้นพบความมหัศจรรย์ว่า  สภาพอะคูสติคภายในห้องน้ำ  มีความพอเหมาะลงตัวกับเสียงร้องและเสียงกีตาร์ของเขา

จาว พบว่าภายในห้องน้ำ  เขาสามารถร้องเร็วขึ้นหรือช้าลงได้อย่างสัมพันธ์กับการเล่นกีตาร์ในแบบของเขา  โดยวิธีร้องเบาๆและปราศจากความสั่นกังวานของเสียง  เขาเริ่มให้จมูกมีบทบาทในการกำหนดเสียงร้องมากกว่าปาก  และทดลองนำอิทธิพลการร้องและเล่นของนักร้องนักดนตรีที่เคยรู้จักมาปรัยให้เหมาะกับตัวเอง

นี่คือความมหัศจรรย์ที่ปูทางไปสู่จังหวะแบบ “บอสซา โนวา” ช่วงระยะนี้เขาได้รับคำเยาะเย้ยว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่ดนตรี หลายคนว่าเสียงเขาไร้พลังหนักแน่นอย่างที่เคยเป็น

จิลแบร์โต เลี่ยงสภาพแปลกแยกนี้ไปฝึกซ้อมดนตรีของเขาอย่างโดดเดี่ยวที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำซาวซานฟรานซิสโก  ที่นี่เขาได้สังเกตผู้หญิงแม่บ้านที่มาซักผ้า  จัดดุลยภาพของกองผ้าบนศีรษะด้วยการลดจังหวะของการโยกโยนลง  ระหว่างการเคลื่อนไหว  ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาแต่งเพลง Bim Bom ซึ่งอาจจะจัดให้เป็นเพลงแรกที่มีจังหวะ “บอสซา โนวา”

รูปแบบดนตรีแบบใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว  และได้รับการยกย่องมาตลอด ๔๐ ปีถึงองค์ประกอบของความเป็นศิลปะอันสมบูรณ์

ทว่า  ช่วงเวลานั้น คนรอบตัวของเขากลับวิตกว่าเขากำลังมีอาการทางจิต  จิล ย้อนเล่าการพูดคุยกับจิตแพทย์ให้ฟังว่า

“มองไปยังสายลมที่ต้นไม้จนเส้นผมร่วงหล่นนั่นสิ” เขาบอกพลางชี้ไปนอกหน้าต่าง

“แต่ต้นไม้ไม่เส้นผมนะ จาว” จิตแพทย์ให้ความเห็นต่อการใช้คำผิดความหมาย

“และนั่นไง  ผู้คนที่ไม่มีกวีในหัวใจ” เขาตอบ

จาว กลับมาที่ “ริโอเดอจาเนโร” เร่แนะนำเพลง Bim Bom และ Ho-Ba-La-La ซึ่งเป็นอีกเพลงที่เขาแต่งในช่วงเดียวกัน

และเขาได้พบกับ “อันโตนิโอ คาร์โลส โจบิม” หรือ ทอม โจบิม ซึ่งมีผลงานดนตรีมาอย่างโชกโชน  จิลแบร์โต เล่นเพลงทั้งสองเพลงให้ โจบิม ฟัง

Antonio Calos Jobim

Antonio Calos Jobim

แต่ทว่า  โจบิม กลับไม่รู้สึกประทับใจทั้งเสียงร้องและการเล่นกีตาร์แต่อย่างใด  เขากลับตระหนักถึง ลักษณะธรรมชาติบางอย่างที่ปรากฎในจังหวะดนตรีแบบใหม่  ซึ่งได้ลดทอนความซับซ้อนของ “แซมบา”ลง (แซมบา-จังหวะดนตรีพื้นบ้านของบราซิล)  และเปิดให้แนวผสมผสานสมัยใหม่ที่ โจบิม กำลังสร้างสรรค์อยู่แทรกเข้าไปได้อย่างลงตัว

ในที่สุดเขาก็พบเพลง Chega de Saudade ที่เขาแต่งร่วมกับ Vinicius de Moraes เมื่อ ๑ ปีก่อนหน้านั้น

ต่อมาเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงแรกที่เปิดฉากกระแสความเคลื่อนไหวของดนตรี บอสซา โนวา จนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

ไม่เพียงเท่านั้น Chega de Saudade ยังเป็นเพลงที่จุดประกายชีวิตนักดนตรีใหเแก่ “Joao Gilberto” ในฐานะ “บิดาแห่งดนตรี บอสซา โนวา” อีกด้วย

เอลิซาเบ็ธ คาร์โดโซ นักร้องสาวที่ร้องเพลงนี้คนแรกได้ปฏิเสธคำแนะนำการร้องในแบบของ เขา เพลงนี้ในเวอร์ชั่นแรกจึงมีเพียงเสียงกีตาร์ของเขาเท่านั้นที่เป็นสัญญาณบอกถึงความแปลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

๑๙๕๘ ในที่สุดจากการหนุนอย่างสุดตัวของ โจบิม งานของ จาว ก็ ได้เกิดขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดเห็นมากมาย

ความสำเร็จของ จาว ไม่ได้มาจากการสนับสนุนของพนักงานสังกัดโอเดียนที่เมืองริโอแต่อย่างใด  หากมาจากการร่วมแรงร่วมใจของพนักงานสังกัดโอเดียนเมืองเปาโล  ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จอันร้อนแรงทั่วทั้งประเทศในเวลาต่อมา

เรื่องมีอยู่ว่าพวกเขาทดลองเปิดเพลง Chega de Saudade ให้ลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง  ซึ่งเมื่อได้ฟังถึงขนาดตะคอกว่า

“ทำไมพวกนั้นถึงส่งผลงานของนักร้องที่ไร้ชีวิตชีวามาให้?”

ก่อนเพลงจบลง ลูกค้าเดือดดาลถึงขนาดหักแผ่นเสียงทิ้ง แล้วประกาศว่า

“นี่คือขยะที่เขาส่งมาให้เราจากเมืองริโอ?”

ทีมงานโอเดียนต่างพากันอธิบาย นี่คือดนตรีที่มีบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม  ล้ำสมัย เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ  ซึ่งคนหนุ่มสาวจะพากันซื้อแผ่นเสียงพวกนี้แน่นอน

ดาวดวงใหม่เกิดขึ้นแล้ว

ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๖๑ สหรัฐส่งทีมดนตรีแจ๊สออกทัวร์เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในแภบละตินอเมริกา  หนึ่งในนั้นคือ “ชาร์ลี เบิร์ด Chalie Byrd” ซึ่งประทับใจในเสียงดนตรีของ จาว และ โจบิม อย่างลึกซึ้ง  เมื่อกลับถึงสหรัฐก็นำแผ่นเสียงงานของ จาว ให้ “แสตน เก็ทซ์” นักแซ็กโซโฟนแจ๊สฟัง

Charlie_Byrd

Charlie_Byrd

เก็ทซ์เคยให้ความเห็นหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น “ผมตกหลุมรักมันทันที… ชาร์ลี เบิร์ด ได้พยายามช่วยขายแผ่นเสียงชุดนั้น  ไม่มีใครสนใจจะซื้อมันเลย”

Stan_Getz

Stan_Getz

อิทธิพลของดนตรี บอสซา โนวา ที่ เก็ทซ์ และ เบิร์ด หลงใหลเป็นอย่างมากนั้น ได้เป็นที่มาของอัลบั้ม Jazz Samba (๑๙๖๒) ที่ทั้งสองทำงานร่วมกันโดยอาศัยวัตถุดิบบางส่วนจากอัลบั้มของ จิลแบร์โต  ผลปรากฎว่าอัลบั้มได้รับความนิยมในสหรัฐถึงอันดับ ๑ และเคลื่อนไหวในชาร์ทเพลงป๊อป ๗๐ สัปดาห์  ส่งให้ เก็ทซ์ กลายเป็นนักแซ็กโซโฟนยอดนิยมในเวลานั้นโดยปริยาย

หลังจากนั้น เก็ทซ์ ยังมีอัลบั้ม บอสซา โนวา ออกมาอีก ๔ ชุด โดยชุด Getz/Gilberto (๑๙๖๔) เขาเชิญ จาว จิลแบร์โต , แอสตรึด จิลแบร์โต และ ทอม โจบิม บินจาริโอมาร่วมงานในนิวยอร์ก  ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกชุดหนึ่ง  โดยอัลบั้มนี้ ได้บรรจุเพลง “The Girl From Ipanema” ให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวโลก


มาถึงตอนนี้โลกทั้งโลกรู้ตัวแล้วว่าเราได้เกิดดนตรีแขนงใหม่แนวทางใหม่ขึ้นแล้ว

ทั้งหมดนี้เล่าถึงเรื่องราวการเดินทางของแนวดนตรีแนวนี้จากไร้ตัวตนสู่วันที่เข้าสู่หูคนแทบจะทั่วโลกครับผม

ข้อมูลและสำนวนภาษา คัดลอก ตัดทอน ดัดแปลง จาก หนังสือ ” Jazz อิสรภาพทางดนตรีของมนุษยชาติ” โดย อนันต์ ลือประดิษฐ์

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

จะสังเกตได้ว่า บอสซา โนวา เนี่ย มันอยู่ในอาการแบบ ชิล ชิล คือ สบายๆ  ทอดน่อง ดนตรีไม่มีการเน้นจังหวะไหนเด่นกว่าจังหวะไหน เท่าๆกันไป  บ้านเราหลายคนบางทีมักจะเล่นกันจน บอสซา กับ สามช่า อยู่ห่างเพียงแค่คืบ





Read Full Post »

Older Posts »